ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 47,147 จุด -309 จุด หรือ -0.65% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 6,734 จุด -3 จุด หรือ -0.05% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 22,900 จุด +30 จุด หรือ +0.13% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และนาสแดค ปิดต่ำกว่าระดับ 48,000 จุด และระดับ 23,000 จุด เป็นวันที่ 2 ติดกัน ตามลำดับ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นสำคัญในตลาดหุ้นนิวยอร์กสหรัฐปิดดำดิ่งหนักมากที่สุดในรอบห้าสัปดาห์หรือนับตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา
สาเหตุจากนักลงทุนเกิดความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับแนวโน้มและโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ในเดือนธันวาคมที่กำลังจะจะมาถึง เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ตกอยู่ในภาวะการขาดแคลนข้อมูลทางเศรษฐกิจ ที่จะใช้ประกอบในการประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะรัฐบาลสหรัฐอเมริกาชัตดาวน์ยาวนานถึง 43 วันติดกัน รวมถึงนักลงทุนวนกลับไปยังปัจจัยราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเอไอที่มีราคาสูงเกินปัจจัยแท้จริง
ด้านตัวชี้วัดโอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟด หรือ ซีเอ็มอี วอทช์ ในการประชุมเดือนธันวาคม 2025 ปรากฎว่า มีโอกาสลดลงมาอยู่ที่ 43% จากเดิมที่ระดับ 46% สะท้อนถึงนักลงทุนมีความไม่มั่นใจสูงขึ้นที่เฟสจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงต่อเนื่องเป็นครั้งที่สามติดต่อกันและมีความเป็นไปได้ที่เฟสจะชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจากที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่าจะมีการปรับลดลงถึง 3 ครั้งในช่วงที่เหลือตั้งแต่ครึ่งปีหลังจนถึงสิ้นปีนี้
