บิสสิเนสไทม์ ซึ่งเป็นสื่อและสำนักข่าวด้านธุรกิจชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ รายงาน การรวบรวมตัวเลขการขยายตัวเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ 6 ชาติแรกในอาเซียน หลังจากที่ประเทศไทยเป็นประเทศสุดท้ายในหกประเทศฉันนำอาเซียนที่ประกาศตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีในไตรมาสที่ 3 ไปเมื่อวานนี้ โดยได้ประเมิน และตัดเกรดให้กับเศรษฐกิจทั้ง 6 ประเทศในอาเซียน มีดังนี้ เกรด A มีเพียงประเทศเดียว คือ เวียดนาม เกรด B มีสองประเทศได้แก่ สิงคโปร์ และมาเลเซีย เกรด C ได้แก่ อินโดนีเซีย และเกรด D มี 2 ประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ และไทย
สำหรับเศรษฐกิจประเทศไทย บิสสิเนสไทยให้เกรด D ด้วยข้อสรุปสั้นกระชับว่า ความล้มเหลวเศรษฐกิจในประเทศ เศรษฐกิจไทยถูกเขย่าโดยปัจจัยลบ มีทั้งปัญหาการเมืองที่ง่อนแง่นภายในประเทศไทย ปัญหาความขัดแย้งและการปะทะแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา คณะรัฐบาลไทยในปัจจุบันซึ่งนำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีต้องเผชิญกับความท้าทายที่ยากลำบากในการฟื้นสภาพเศรษฐกิจไทย หลังจากสภาพัฒน์ได้แถลงตัวเลขภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 โตเพียงแค่ 1.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2024 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยทำสถิติเติบโตตกต่ำมากที่สุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ที่สำคัญเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3 ชะลอตัวถึงขั้นติดลบ 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ในปีนี้ ทำให้เกิดสถิติเศรษฐกิจไทยชะลอตัวระหว่างไตรมาสต่อไตรมาสเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ไตรมาส หรือนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ในปี 2022 ซึ่งอยู่ในช่วงโรคระบาดโควิด-19
ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3 ในปี 2025 ซึ่งได้ประกาศตัวเลขเติบโตเพียงแค่ 1.2% ไปเมื่อวานนี้โดยสภาพัฒน์นั้น ได้สร้างความผิดหวังให้กับบรรดานักวิเคราะห์ และนักลงทุนที่อยู่ในตลาดทุน เนื่องจากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ควรจะขยายตัวที่ระดับ 1.6%
นายคริสตัล ตัน นักวิเคราะห์เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย ธนาคารเอเอ็นแซด (ANZ) ซึ่งเป็นธนาคารชั้นนำในประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงนั้น เป็นผลมาจากปัจจัยลบที่ฉุดรั้งจากทางด้านของการใช้จ่ายภาครัฐรัฐบาลที่ลดต่ำลง รวมถึงการส่งออกภาคบริการของประเทศไทยที่ลดต่ำลงด้วย เศรษฐกิจประเทศไทยจะยังคงเผชิญกับปัญหา หรือข้อจำกัดด้านโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นอุปสรรคที่เหนี่ยวรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนเรื้อรังของประเทศไทยที่จะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารไอเอ็นจี เปิดเผยว่าเศรษฐกิจภายในประเทศต้องเผชิญกับเส้นทางที่ไม่ราบรื่น และวงจรการเลือกตั้งของไทย ได้กลายเป็นสองปัจจัยที่มีน้ำหนักกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน และความเชื่อมั่นของครัวเรือนคนไทย ท่ามกลางภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่ยังคงเผชิญกับความทุลักทุเลในการฟื้นตัวตลอดทั้งปี 2025 นี้
ศาสตราจารย์ ลิม คณะบริหารธุรกิจเอสเสกซ์ (Essec Business School) กล่าวว่าภาคการท่องเที่ยวของไทยซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่น นั้นได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดน้อยลง ปัจจัยนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่มีความเชื่อมโยงและเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
สำหรับประเทศเวียดนามนั้น สื่อดังกล่าวได้ให้เกรด A ด้วยข้อสรุปอย่างกระชับและชัดเจนว่า เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดแห่งชาติอาเซียน ประเทศเวียดนามมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่สามอย่างก้าวกระโดดถึงระดับ 8.23% ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ที่สำคัญเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสที่หนึ่งและไตรมาสที่สองติดต่อกัน บนความคาดหวังว่ารัฐบาลเวียดนามจะสามารถเจรจาในรายละเอียดของข้อตกลงภาษีและการค้ากับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ด้านปัจจัยบวกภายในประเทศเวียดนามมีเป็นจำนวนมากได้แก่การบริโภคและใช้จ่ายของประชาชนชาวเวียดนามภายในประเทศที่แข็งแกร่ง คลื่นการลงทุนจากทางในและต่างประเทศที่มีจำนวน ตัวเลขการส่งออกของประเทศเวียดนามที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งหมดสร้างแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเวียดนามในไตรมาสที่สามเติบโตขึ้นระดับสูงสุดในรอบ 14 ปีหรือนับตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตามปัจจัยเงินเฟ้อรวมถึงค่าเงินดองเวียดนามอาจกลายเป็นปัจจัยลบที่กระตุกความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจเวียดนาม
นักวิเคราะห์เศรษฐกิจจากธนาคารเอเอ็นแซดเปิดเผยว่ายังคงคาดการณ์ว่าความต้องการในสินค้า คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์จากประเทศเวียดนามจะยงคงขยายตัวสูง ไปจนถึงสิ้นปี 2025 นี้ เนื่องจากทั้งสองสินค้าดังกล่าวได้รับการยกเว้นจากการเก็บภาษีตามตอบแทนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่เคยประกาศไว้สูงถึง 20% ซึ่งเป็นผลจากการเจรจาที่ประสบความสำเร็จของรัฐบาลเวียดนาม สำหรับในปี 2026 นั้นธนาคารเอเอ็นแซดประเมินว่าเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามจะยังขยายตัวสูงต่อเนื่องไปถึงที่ระดับ 6.8%