วิกฤตคณะวิทยาศาสตร์อาหารหรือฟู้ดไซน์และเกษตรในไทยจ่อปิดสาขา ปลัดกระทรวงอว.ชี้มีปัญหาทุกสถาบันแต่หนักสุดที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ นักศึกษาเมินเลือกเรียนลามถึงสาขาวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ พากันเรียนน้อยลง

วิกฤตคณะวิทยาศาสตร์อาหาร หรือฟู้ดไซน์และเกษตรในไทยจ่อ ปิดสาขา ปลัดกระทรวงอว.ชี้มีปัญหาทุกสถาบันแต่หนักสุดที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ นักศึกษาเมินเลือกเรียนลามถึงสาขาวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ พากันเรียนน้อยลง

นายศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่าจำนวนผู้เรียนในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับเกษตรและอาหาร ลดลงอย่างชัดเจน และมีหลายแห่งมีแนวโน้มถูกปิดสาขา ซึ่งกระทรวงอว.ไม่เห็นด้วย สาเหตุจากสาขาเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ขณะที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ หรือมรภ. มีบทบาทสำคัญในการผลิตบุคลากรให้ตอบสนองต่อเศรษฐกิจของประเทศ หากมรภ.มุ่งพัฒนาพื้นที่แต่กลับผลิตกำลังคนที่ยกระดับเศรษฐกิจจริงไม่ได้ ก็ถือเป็นประเด็นที่น่ากังวล

ปัจจุบันพบว่าจำนวนนักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะในกลุ่มมรภ. ลดลงอย่างมาก บางมหาวิทยาลัยต้องยุบสาขา เช่น ฟู้ดไซน์ หรือวิทยาศาสตร์การอาหาร ที่ผ่านมายังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่ามรภ.ต้องเน้นผลิตคนเพื่อพัฒนาท้องถิ่นเพียงด้านเดียว ทั้งที่ในความเป็นจริง มรภ.ต้องผลิตบุคลากรให้ตอบโจทย์เศรษฐกิจท้องถิ่นด้วย เช่น ด้านเกษตรและอาหาร ซึ่งกำลังประสบปัญหาจำนวนผู้เรียนน้อยลงอย่างต่อเนื่อง เพราะเด็กจำนวนมากหันไปเลือกเรียนในสาขาที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด ขณะที่สาขาที่จำเป็นกลับมีผู้เรียนลดลง ทั้งที่เรียนจบแล้วมีงานรองรับแน่นอน

ปลัดอว.กล่าวว่า นโยบายสำคัญที่เน้นย้ำต่อมรภ. คือไม่ต้องการให้ยุบสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อพื้นที่ เช่น สาขาเกษตรและอาหาร แม้จำนวนผู้เรียนจะน้อยเพียงใดก็ตาม โดยในปีการศึกษา 2569 กระทรวงอว.จะพยายามผลักดันให้เด็กสนใจเลือกเรียนในสาขาเหล่านี้มากขึ้น

ปัญหาผู้เรียนในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะฟู้ดไซน์และเกษตร มีอยู่แทบทุกมหาวิทยาลัย แม้สถาบันขนาดใหญ่จะมีผู้เรียนลดลงเช่นกัน แต่สถานการณ์ยังไม่รุนแรงเท่ากลุ่มมรภ. ซึ่งหลายแห่งมีจำนวนนักศึกษาน้อยจนมหาวิทยาลัยมีแผนจะยุบสาขาเพื่อลดต้นทุน

กระทรวงอว.จึงเสนอแนวทางต่อที่ประชุมอธิการบดีมรภ.ให้คงสาขาที่จำเป็นเหล่านี้ไว้ก่อน เนื่องจากรัฐได้ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานไว้เป็นจำนวนมาก จึงต้องร่วมกันหาแนวทางดึงดูดนักเรียนให้สนใจมากขึ้น ซึ่งเป็นความร่วมมือที่อว.และมหาวิทยาลัยต้องขับเคลื่อนร่วมกัน ขณะเดียวกัน สาขาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน เช่น ฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา ก็มีจำนวนผู้เรียนลดลงอย่างเห็นได้ชัด หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินเช่นนี้ต่อไป อาจส่งผลกระทบต่อประเทศในระยะยาว นายศุภชัยกล่าว

ขณะเดียวกัน จะมีการพัฒนาศักยภาพอาจารย์ผู้สอน ทั้งด้านการเรียนการสอน เทคโนโลยี และการประยุกต์ใช้เอไอด้านอาหารยุคใหม่ รวมถึงการปรับปรุงหลักสูตรให้สอดรับกับยุคปัจจุบัน สิ่งสำคัญคือการสร้างทัศนคติใหม่ให้เด็กอยากเรียนในสาขาเหล่านี้ โดยอว.อาจพิจารณาปรับระบบทุนการศึกษา รวมทั้งเตรียมจัดบูทแคมป์ด้านเกษตรและอาหารตั้งแต่ระดับมัธยมปลาย เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้สัมผัสอาชีพสมัยใหม่ เช่น สมาร์ทฟาร์มเมอร์ หรือนักโภชนาการ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการตัดสินใจเรียนต่อ

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles