ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 45,752 จุด -386 จุด หรือ -0.84% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 6,538 จุด -103 จุด หรือ -1.56% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 22,078 จุด -486 จุด หรือ -2.16% ที่สำคัญ การซื้อขายตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความผันผวนและรุนแรง โดยในช่วงระหว่างวัน ดัชนีหุ้นดาวโจนส์พุ่งทะยานขึ้นสูงสุดถึง 718 จุด ก่อนที่จะถูกกระหน่ำเทขายลงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งปิดตลาดสุดลดลงถึง -386 จุด ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดต่ำกว่าระดับ 46,000 จุด นอกจากนี้ดัชนีหุ้นนาสแดคปิดใกล้หลุดระดับ 22,000 จุด
สาเหตุจากนักลงทุนเกิดความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอครั้งใหม่ที่อาจเกิดภาวะฟองสบู่แตก ถึงแม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทเอ็นวีเดีย ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตไมโครชิพสำหรับเอไอที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จะออกเข้าเป้าตามคาดการณ์ของตลาด แต่นักลงทุนกลับเทขายหุ้นบริษัทดังกล่าวอย่างหนาตา มีความเป็นไปได้สูงที่ราคาหุ้นของบริษัทดังกล่าวในเดือนพฤศจิกายนตกต่ำมากถึง -10.8% และอาจกลายเป็นราคาหุ้นที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ เดือนมีนาคมที่ผ่านมาหรือในรอบ 8 เดือน นอกจากนี้ ส่งผลให้เกิดแรงกระทบต่อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีอื่นๆมีราคาสุดต่ำลงตลอดทั้งวัน
ในขณะที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อัลฟาเบท ซึ่งเป็นเจ้าของกูเกิ้ลกล่าวว่าทุกบริษัทไม่สามารถหลุดพ้นผลกระทบที่จะได้รับจากภาวะฟองสบู่เอไอแตก รวมถึงรองประธานธนาคารเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งเป็นธนาคารที่เป็นขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า มูลค่าของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเอไอจะเกิดภาวะการปรับฐานราคเข้าสู่ปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง