นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เดือนตุลาคม 2568 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,165 ราย เทียบเดือนกันยายน 2568 ลดลง 991 ราย หรือลดลง 12.15% และเทียบเดือนตุลาคม 2567 ลดลง 102 ราย หรือลดลง 1.40% โดยมีทุนจดทะเบียน 21,778 ล้านบาท เทียบเดือนกันยายน 2568 เพิ่มขึ้น 1,910 ล้านบาท หรือเพิ่ม 9.62% และเทียบเดือนตุลาคม 2567 ลดลง 8,371 ล้านบาท หรือลดลง 27.77 %
โดย 3 ประเภทธุรกิจที่ขยายตัวเมื่อเทียบเดือนเดียวกันปีก่อน คือ 1. ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด เพิ่มขึ้น 43 ราย หรือเพิ่ม 62.32% ทุน เพิ่มขึ้น 288 ล้านบาท 2.ธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้า รวมถึงคนโดยสาร เพิ่มขึ้น 43 ราย หรือ เพิ่ม 36.44% ทุน ลดลง 21.59 ล้านบาท และ 3.ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป เพิ่มขึ้น 52 ราย หรือเพิ่ม 9.08% ทุน เพิ่มขึ้น 413 ล้านบาท ส่งผลให้ช่วง 10 เดือนแรกปี 2568 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่รวม 74,510 ราย ลดลง 2,443 ราย หรือลดลง 3.17% และมีทุนจดทะเบียนตั้งใหม่สะสมอยู่ที่ 235,992 ล้านบาท ลดลง 2,639 ล้านบาท หรือลดลง 1.11% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนตุลาคม 2568 มี 2,298 ราย เทียบกันยายน 2568 เพิ่มขึ้น 148 ราย หรือเพิ่ม 6.88% เทียบเดือนตุลาคม 2567 ลดลง 218 ราย หรือลดลง 8.66% ทุนจดทะเบียนเลิก อยู่ที่ 9,228 ล้านบาท เทียบกันยายน 2568 เพิ่มขึ้น 3,672 ล้านบาท หรือเพิ่ม 66.08% เทียบตุลาคม 2567 ลดลง 671 ล้านบาท หรือลดลง 6.78%
การจดทะเบียนเลิกช่วง 10 เดือนแรกปี 2568 มี 14,177 ราย ลดลง 585 ราย หรือลดลง 3.96% และมีทุนจดทะเบียนเลิก 10 เดือนสะสม 77,818 ล้านบาท ลดลง 48,086 ล้านบาท หรือลดลง 38.19% ทำให้ปัจจุบัน ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568 มีธุรกิจรวม 2,039,339 ราย ทุนรวม 31.39 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้ปี 2568 เศรษฐกิจยังเผชิญหลายปัจจัย แต่จัดตั้งธุรกิจใหม่ทั้งปีนี้น่าจะใกล้เคียงปีก่อน ประมาณ 8.5 หมื่นราย คาดปีหน้าตัวเลขน่าจะอยู่ระดับ 8.0-8.5 หมื่นราย ขณะที่จำนวนเลิกกิจการต่อปีเฉลี่ยประมาณ 2 หมื่นราย
โดยการลงทุนของชาวต่างชาติในไทยเดือนตุลาคม 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย 99 ราย เงินลงทุนรวม 23,621 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจาก สิงคโปร์ จีน และ ญี่ปุ่น ตามลำดับ ทำให้ช่วง 10 เดือนแรกปี 2568 ได้อนุมัติแล้ว 869 ราย เพิ่ม 83 ราย หรือเพิ่ม 11% เงินลงทุนรวม 276,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115,567 ล้านบาท หรือเพิ่ม 72% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน
ส่วนประเทศที่เข้ามาลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น 158 ราย เงินลงทุน 78,285 ล้านบาท สหรัฐ 127 ราย เงินลงทุน 4,830 ล้านบาท สิงคโปร์ 126 ราย เงินลงทุน 92,318 ล้านบาท จีน 116 ราย เงินลงทุน 25,404 ล้านบาท ฮ่องกง 93 ราย เงินลงทุน 13,198 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 249 ราย เงินลงทุน 62,701 ล้านบาท
สำหรับ การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ช่วง 10 เดือนแรก 2568 มีจำนวน 253 ราย หรือสัดส่วน 29% มูลค่าการลงทุนในพื้นที่อีอีซี 90,791 ล้านบาท หรือ 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด