ธนาคารเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ได้เปิดมุมมองราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบของ 2 ตลาดสำคัญของโลกในปี 2027 คาดการณ์เฉลี่ยน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ที่ระดับ 57 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ท่ามกลางราคาในปัจจุบันเคลื่อนไหวที่ระดับกว่า 62 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และราคาเป้าหมายเฉลี่ยน้ำมันดิบนิวยอร์ก หรือไนเม็กซ์ สหรัฐ ที่ระดับ 53 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ท่ามกลางราคาในปัจจุบันเคลื่อนไหวที่ระดับกว่า 58 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ในขณะที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงราคาเฉลี่ยของทั้ง 2 ตลาดในปี 2026 แต่อย่างใด โดยอยู่ที่ 58 และ 54 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
ธนาคารดังกล่าวคาดการณ์ว่า ถึงแม้ในปี 2026 ความต้องการน้ำมันดิบในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นวันละ 900,000 บาร์เรล ส่งผลให้ตัวเลขดังกล่าวขึ้นไปอยู่ที่วันละ 105.5 ล้านบาร์เรล และในปี 2027 ความต้องการน้ำมันดิบในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นวันละ 1.2 ล้านบาร์เรล แต่ปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกจะมีจำนวนมากเกินกว่าตัวเลขคาดการณ์ความต้องการบริโภคน้ำมันดิบทั่วโลก โดยจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับในปี 2025 และ 2026 ก่อนที่ความต้องการดังกล่าวจะชะลอตัวลงมาแต่ก็เกินความต้องการบริโภคอยู่ที่ราว 1 ใน 3 หรือกว่า 33% ในปี 2027
ปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกราว 50% ที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น เป็นผลมาจากกำลังการผลิตของประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบนอกกลุ่มสมาชิกโอเปกพลัส ที่มีการขยายแหล่งขุดเจาะน้ำมันดิบ และการผลิตน้ำมันดิบจากเชลล์แก๊สเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2025 ผ่านมา ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ชื่อดังระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่าได้ปรับลดราคาเป้าหมายเฉลี่ยน้ำมันดิบตลาดโลกในปี 2026 จากเดิมที่เคยคาดการณ์เฉลี่ยน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ที่ระดับ 73 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลงมาอยู่ที่ระดับ 56 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือลดลง 17 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือ -23.2% ท่ามกลางราคาในปัจจุบันเคลื่อนไหวที่ระดับ 63 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
สอดรับกับการลดราคาเป้าหมายเฉลี่ยน้ำมันดิบนิวยอร์ก หรือไนเม็กซ์ สหรัฐ ในปี 2026 ที่ระดับ 68 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลงมาอยู่ที่ระดับ 52 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือลดลง 16 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือ -23.5% ท่ามกลางราคาในปัจจุบันเคลื่อนไหวที่ระดับ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
สาเหตุจากในช่วงปี 2025-2026 กลุ่มโอเปคพลัสต้องการที่จะลดต้นทุนในการผลิตน้ำมันดิบของทั้งกลุ่ม นอกจากนี้ โครงการลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันดิบ ซึ่งได้รับการเลื่อนระยะเวลามาจากช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์โรคระบาด โควิด-19 ได้กลับมาอยู่ในรอบของการพิจารณาการลงทุนอีกครั้ง และนับตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2025 ที่ผ่านมากลุ่มโอเปคพลัสปรับขึ้นกำลังการผลิตน้ำมันดิบต่อเนื่อง รวมถึงสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบมากที่สุดในโลกและบราซิลได้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบเช่นเดียวกัน
ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ต่อไปว่า ภาวะราคาน้ำมันดิบตกต่ำในช่วงระหว่างปี 2025 ถึง 2026 นี้จะฟื้นตัวขึ้น จากในปี 2027 โดยประเมินว่าราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ และนิวยอร์ก หรือไนเม็กซ์ สหรัฐ จะมีราคาสูงขึ้นมาเคลื่อนไหวที่ระดับ 80 และ 76 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงปลายปี 2028
อย่างไรก็ตามในช่วงระหว่างปี 2026 และ 2027 ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ หากมีราคาดำดิ่งลงเหวลึกแตะที่ระดับ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ว่าเศรษฐกิจเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือ Recession แต่อาจพุ่งสูงขึ้นที่ระดับ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ว่าปริมาณน้ำมันดิบจากประเทศรัสเซียลดต่ำลงอย่างมาก จากผลกระทบของมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันดิบของประเทศในโลกตะวันตกที่อาจมีต่อเนื่อง