มหาอุทกภัย 10 จังหวัดใต้ จิสท์ด้าชี้ท่วมหาดใหญ่สูงสุด 4 เมตร เฉลี่ยสูง 2.5 เมตร ท่วมขังเกือบ 2.4 แสนไร่ ปภ.ชี้ 7.1 แสนครัวเรือน เกือบ 2 ล้านคนเดือดร้อน โรงงานกว่า 700 แห่งในสงลาเสียหายรวมกว่า 1.2 พันล้าน ศก.เสียหาย 25,000 ล้าน รัฐบาลมาเลเซียเตือนเลี่ยงมาเที่ยวภาคใต้ของไทย นักท่องเที่ยวมาเลเซียยกเลิกทริปมาไทยทั้งหมด

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ และพูมิสารสนเทศ หรือจิสด้า (GISTDA) เปิดข้อมูลแผนที่ดาวเทียม พบว่าวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เวลา 22:46 น. พบน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มและชุมชนที่อยู่อาศัยประมาณ 54,840 ไร่ บริเวณพื้นที่บางส่วนของอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ส่งผลพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมขังรวมทั้งสิ้นประมาณ 239,509 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของทั้ง 4 จังหวัดหลัก ได้แก่ ปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสงขลา ที่สำคัญ พื้นที่ส่วนใหญ่มีระดับน้ำลึกตั้งแต่ 1 – 2.5 เมตรขึ้นไป ซึ่งเป็นระดับที่อันตรายและส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการดำเนินชีวิตและการสัญจร

มีประชาชนได้รับผลกระทบประมาณ 150,230 คน ที่อยู่อาศัยได้รับผลกระทบแล้วกว่า 25,102 หลังคาเรือน สถานที่สำคัญได้รับผลกระทบประกอบด้วย โรงเรียน 47 แห่ง และโรงพยาบาล 8 แห่ง และเส้นทางคมนาคมได้รับผลกระทบระยะทางรวมกว่า 536 กิโลเมตร

พื้นที่ระดับน้ำท่วมวิกฤตส่วนใหญ่อยู่ในโซนสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งจากการวิเคราะห์และจำแนกตามเฉดสีในแผนที่ พบว่า ระดับน้ำท่วมต่ำสุดอยู่ที่ระหว่าง 0.5 – 1 เมตร ระดับน้ำท่วมถึงเอว ท่วมสูงตั้งแต่ 2-3 เมตร คือระดับน้ำท่วมสูงมิดหัว ซึ่งพบในพื้นที่ส่วนใหญ่ของอำเภอหาดใหญ่ และท่วมสูงมากกว่า 4 เมตร เป็นระดับน้ำลึกมาก อย่างไรก็ตาม ต้องเน้นย้ำว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของอำเภอหาดใหญ่มีน้ำท่วมขังในระดับ 2-3 เมตร ซึ่งเป็นระดับที่สูงมาก และบ่งบอกถึงอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือปภ. รายงานเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ว่าพื้นที่น้ำท่วมในภาคใต้มีทั้งหมด 10 จังหวัด คือ สุราษฎร์ธานี กระบี่ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส คิดเป็นพื้นที่ถูดกระทบรวม 92 อำเภอ 581 ตำบล และ 4,146 หมู่บ้าน ที่สำคัญ ครัวเรือนได้รับความเดือดร้อนรวมทั้งสิ้น 719,858 ครัวเรือน คิดเป็นประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรวม 1.91 ล้านคน

สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลารายงานว่า คาดการณ์ความเสียหายเบื้องต้นของโรงงานรวม 715 แห่งในพื้นที่อําเภอหาดใหญ่ จะนะ นาทวี เทภา สบาย บางละมุม ราษฎร์ภูมิ สะเดา ระโนด กวนเนียง นาหม่อม และคลองฮอยกง ประมาณ 1,280 ล้านบาท สำหรับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ โรงงานแปรรูปอาหาร 29 แห่ง โรงงานแปรรูปไม้ยางพารา 97 แห่ง โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ยาง 103 แห่ง ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก 44 ราย โรงงานผลิตภัณฑ์โลหะ 53 แห่ง โรงงานสกัดทราย 310 แห่ง และอุตสาหกรรมบริการ 79 แห่ง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากเหตุอุทกภัยครั้งร้ายแรงสุดที่สงขลา ซึ่งหนักมากต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน และในอีกหลายจังหวัดภาคใต้ ได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี นราธิวาส ปัตตานี ตรัง สตูล ยะลา ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนรวมแล้วราว 8 แสนครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 4 แสนไร่ กระทั่งปัจจุบัน สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย และไปข้างหน้าก็ยังมีความเสี่ยงที่ปริมาณน้ำฝนและน้ำท่าอาจจะยังมากอยู่

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินผลกระทบเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรก ผลกระทบทันทีจากการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งพอจะประมาณได้ ส่วนที่สองจากความเสียหายต่อสินทรัพย์ ซึ่งซับซ้อนกว่า เพราะความเสียหายอาจทยอยรับรู้ในอนาคตโดยหลายภาคส่วน นอกเหนือไปจากครัวเรือน เช่น รัฐบาล สถาบันการเงิน คู่ค้า ฯลฯ

สำหรับส่วนแรกนั้น ผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเบื้องต้นอาจคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาทในกรอบเวลา 1 เดือน หรือราว 0.13% ของขนาดเศรษฐกิจประเทศไทย (Nominal GDP) บนสมมติฐานเหตุการณ์รุนแรงในช่วง 10-15 วันแรก และความรุนแรงทยอยลดระดับลงในอีก 10-15 วันถัดมา โดยผลกระทบหลักอยู่ที่จังหวัดสงขลา ซึ่งช่วงแรกประสบภัยในแทบทุกพื้นที่

โดยหลักๆ จะมาจากการหยุดชะงักลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคบริการ (สถานที่พักแรม ร้านอาหาร ค้าปลีก ขนส่ง เป็นต้น) และการผลิตอุตสาหกรรม (เช่น เกษตรและอาหารแปรรูป) ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 56% และ 18% ตามลำดับในจังหวัดสงขลา รวมไปถึงการหยุดให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างไฟฟ้าและประปา (สัดส่วนกว่า 3%)

ขณะที่เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงปลายปีที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจมักจะคึกคักขึ้นตามปัจจัยด้านฤดูกาลของการท่องเที่ยว อีกทั้งอยู่ในช่วงที่ไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพงานกีฬาซีเกมส์ 9-20 ธันวาคม 2568 และสงขลาเป็นหนึ่งในสถานที่จัดการแข่งขันหลายประเภทกีฬา นอกจากนี้ ความเสียหายส่วนที่เหลือของสงขลาและในพื้นที่จังหวัดอื่นๆ ผลกระทบจะเป็นภาคเกษตร ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมัน รวมถึงพื้นที่เลี้ยงสัตว์น้ำหรือประมง

เมื่ออุทกภัยทยอยคลี่คลาย ผู้ประสบภัยจะได้รับผลกระทบจากการจัดการความเสียหายของสินทรัพย์เพิ่มเติม เช่น อาคาร รถยนต์ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งการรับรู้ผลกระทบในส่วนที่สองนี้ ทั้งการซ่อมแซม/ฟื้นฟู/ซื้อใหม่ คงจะทยอยใช้เวลา และยังต้องขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น เงินออมและความสามารถในการหารายได้ของแต่ละครัวเรือน ภาวะเศรษฐกิจ ความช่วยเหลือจากเจ้าหนี้และคู่ค้าต่างๆ ซึ่งรวมถึงสถาบันการเงิน ตลอดจนมาตรการจากภาครัฐ

วิจัยกรุงศรี ซึ่งเป็นสำนักวิจัยที่อยู่ในเครือธนาคารกรุงศรี เปิดเผยว่า สถานการณ์อุทภัยในภาคใต้ล่าสุดมีพื้นที่ได้รับผลกระทบจำนวน 9 จังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดสงขลาได้รับผลกระทบหนักที่สุด ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีได้ประเมินมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจจากอุทกภัยภาคใต้ครั้งนี้ราว 11.8 – 23.6 พันล้านบาท โดยภาคการค้าและบริการ ภาคการท่องเที่ยว ตลอดจนโรงแรมและภัตตาคารเป็นหน่วยธุรกิจที่เผชิญความเสียหายค่อนข้างมาก

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. กล่าวว่า สัปดาห์นี้นักท่องเที่ยวมาเลเซียยกเลิกการเดินทางมาประเทศไทยทั้งหมด สาเหตุจากน้ำท่วมครั้บใหญ่ และไม่มีความไม่มั่นใจด้านความปลอดภัย ประชาชนและนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียจำนวนมากมีความกังวลหากต้องมาเที่ยวไทย นอกจากนี้รัฐบาลมาเลเซียประกาศเตือนภัยน้ำท่วมในภาคใต้ของประเทศไทย ขอให้ประชาชนชาวมาเลเซียหลีกเลี่ยงการเดินทางไปภาคใต้ของประเทศไทย ส่งผลให้ความต้องการเดินทางลดลงทันที และมีแนวโน้มหยุดเดินทางในระยะสั้น

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles