นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า สื่อระดับประเทศของจีน เปิดเผยว่า สถาบันการเงินในประเทศจีนอย่างน้อย 23 แห่งมีทั้งธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และธนาคารระดับภูมิภาคของประเทศจีน ได้ดำเนินการขายทรัพย์สินที่เป็นที่อยู่อาศัย และสำนักงานที่ผู้กู้นำมาเป็นทรัพย์สินค้ำประกัน ออกจากธนาคารนับตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2025 เป็นต้นมา เพื่อที่จะนำเงินสดที่ได้จากการขายธุรกรรมดังกล่าวสะสมเพิ่มมากขึ้นในแต่ละสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตามสถาบันการเงินในประเทศจีนได้ทำการขายสะสมนับตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีจำนวนที่อยู่อาศัยและสำนักงานที่ขายออกไปรวมกันทั้งสิ้น 70,000 รายการ ทำสถิติมากกว่ายอดขายที่อยู่อาศัยหลังใหม่รวม 59,000 รายการในนครเซี่ยงไฮ้เมื่อปี 2024 ผ่านไป
ทรัพย์สินประเภทเป็นที่อยู่อาศัย และสำนักงานที่ผู้กู้นำมาเป็นทรัพย์สินค้ำประกันนั้น ในที่สุดผู้กู้เงินไม่สามารถนำเงินมาไถ่ถอนได้เมื่อเลยกำหนดเวลาไปแล้ว รวมถึงไม่สามารถที่จะจ่ายค่างวดในการกู้ยืมสินเชื่อจากธนาคารได้ จากการเปิดเผยข้อมูล พบว่าส่วนใหญ่ของ สถาบันการเงินจะเป็นธนาคารระดับภูมิภาคที่มีขนาดใหญ่ และสถาบันการเงินขนาดเล็กที่มีกลุ่มลูกค้าประเภทเกษตรกรรม อย่างไรก็ตาม มีธนาคารรัฐวิสาหกิจ 2 แห่งที่เป็น 2 ใน 4 ธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศจีนรวมอยู่ด้วย ได้แก่ ธนาคารอะกริคัลเจอรัล แบงก์ ออฟ ไชน่า หรือ ABC และธนาคารไชน่า คอนสตรัคชั่น แบงก์ หรือ CCB ที่ทำการขายทรัพย์สินที่อยู่อาศัยเพื่อเพิ่มกระแสเงินสดของธนาคาร
ธนาคารสีฉวน รูรอล คอมเมอร์เชียล ยูเนียน แบงก์ หรือ SRCUB ซึ่งเป็นธนาคารขนาดเล็กและมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองเฉิงตูซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลเสฉวน ทำการขายทรัพย์สินทั้งประเภทที่อยู่อาศัยและสำนักงานรวมกันเป็นจำนวน 25,000 รายการ ธนาคารแบงก์ ออฟ จีหลิน หรือ BOJ ซึ่งเป็นธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่งที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน ได้ประกาศขายทรัพย์สินดังกล่าวเป็นจำนวน 2,000 รายการ รวมถึงธนาคารลานโจว ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีนประกาศขายทรัพย์สินรวมกันกว่า 1,750 รายการ
เงินสดที่ได้จากการขายทรัพย์สินประเภทที่อยู่อาศัยและสำนักงานของสถาบันการเงินในประเทศจีนจะถูกนำไปเพิ่มกระแสเงินสดและ บางส่วนทำการตั้งสำรองเพื่อตัดหนี้เสียจากภาคอสังหาริมทรัพย์ออกจากการบันทึกรายการทางบัญชีของธนาคาร ปัจจุบันธุรกิจธนาคารในประเทศจีนต้องเผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ครั้งรุนแรง และเรื้อรังที่เกิดขึ้นในประเทศจีน
ภาวะอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางจีนที่มีการปรับลดลงและอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำกำไรของธนาคารในประเทศจีน รวมถึงรัฐบาลท้องถิ่น หรือที่อยู่ในแต่ละมณฑล ซึ่งครั้งหนึ่งถูกพิจารณาว่าเป็นผู้กู้ยืมที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดนั้น ต้องเผชิญกับภาวะกระแสเงินสดตึงตัว ซึ่งเป็นผลมาจากรัฐบาลท้องถิ่นเผชิญงบประมาณ และการเงินตึงตัวที่เกิดจากการปล่อยกู้ให้กับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในท้องถิ่นที่ล่มสลายจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์
ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธนาคารรัฐวิสาหกิจในประเทศจีนเปิดเผยว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าข้อมูลสถิติเกี่ยวกับภาคธนาคารในประเทศจีนเป็นข้อมูลที่ห่างไกลจากความเป็นจริง ซึ่งในปัจจุบันมีการระบุว่าสัดส่วนหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์ในจีนอยู่ที่ระดับ 1.5% ของทั้งระบบ อย่างไรก็ตาม ชินนิจิ เซกิ สถาบันวิจัยญี่ปุ่น หรือ JRI คาดการณ์ว่าตัวเลขสัดส่วนหนี้เสียอยู่สูงถึง 7.8% ของทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ในจีนเมื่อสิ้นสุดปี 2024 ผ่านไป โดยข้อมูลดังกล่าวได้จากการเปิดเผยของธนาคารที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ทุกแห่งของจีน
ทั้งนี้ในปี 2024 ผ่านไป ธนาคารที่อยู่ในประเทศจีนเร่งรีบการตัดใจหนี้เสียออกจากระบบธนาคารอย่างรวดเร็วโดยพบว่ามีมูลค่าหนี้เสียที่ตัดจ่ายออกไปรวมกันสูงถึง 3.8 ล้านล้านหยวน หรือ 535,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 17.4 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นเกือบ 30% มากกว่ามูลค่าหนี้เสียที่มีการตัดจ่ายออกไปในปี 2023 ที่สำคัญ นับเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน หรือตั้งแต่ปีที่เกิดวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ที่ธนาคารในประเทศจีนมีการตัดหนี้เสียจากระบบธนาคารพาณิชย์เป็นมูลค่าสูงกว่าปีละ 3 ล้านล้านหยวน หรือกว่าปีละ 13.8 ล้านล้านบาท
