Google Cloud ประกาศเปิดตัว PanyaThAI โครงการเพื่อยกระดับศักยภาพขององค์กรไทยในการพัฒนา ประยุกต์ และขยายการใช้งาน Agentic AI ระดับองค์กร เพื่อสร้างคุณค่าที่จับต้องได้ และผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริงให้กับภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศ โครงการนี้เริ่มต้นด้วยสมาชิกผู้ก่อตั้งจำนวน 15 องค์กร ได้แก่ บิทาซซ่า (Bitazza), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn University), ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (Dhipaya Group Holdings), ฟินโนมีนา (Finnomena), ไทยสมุทรประกันชีวิต (Ocean Life Insurance), ซีเอ็ดยูเคชั่น (SE-ED), บริษัท ช้อป โกลบอล อี-คอมเมิร์ซ จำกัด (Shop Global E-Commerce Company Limited), สยามพิวรรธน์ (Siam Piwat), แสนสิริ (Sansiri), สคูลดิโอ (Skooldio), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET), ไทยวาโก้ (Thai Wacoal), ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO Financial Group), ท็อปส์ (TOPS) และ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป (True Digital Group)
“PanyaThAI” (ปัญญาไท) เป็นการเล่นคำระหว่างคำว่า “ปัญญา” และคำว่า “ไท” ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์ของโครงการในการผสานสติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยเข้ากับเครื่องมือทางเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม AI ระดับโลกที่สามาถส่งมอบคุณค่าที่เป็นรูปธรรมให้แก่อุตสาหกรรม สังคม และเศรษฐกิจโดยรวมของทั้งประเทศ ทั้งยังสะท้อนเจตจำนงร่วมขององค์กรสมาชิกในการนำนวัตกรรม AI มาพัฒนาอย่างมีความรับผิดชอบ
ผลการวิจัยจาก Public First เผยว่าหากองค์กรท้องถิ่นสามารถนำ AI มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้ราว 730,000 ล้านบาท (ประมาณ 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในปี 2030 นอกจากนี้ งานวิจัยฉบับดังกล่าวยังระบุถึง 3 อุปสรรคหลักที่จำกัดองค์กรหลายแห่งจากการใช้ประโยชน์จาก AI อย่างเต็มประสิทธิภาพ ได้แก่ 1) การทำให้โซลูชัน AI สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องและน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง 2) การขาดแหล่งข้อมูลที่พร้อมสำหรับการใช้งาน AI 3) การขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านการจัดการข้อมูลและ AI อย่างเหมาะสม
นายอรรณพ ศิริติกุล กรรมการผู้จัดการ Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า “จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารทั่วโลกพบว่า มากกว่าครึ่งรายงานว่าองค์กรของตนมีรายได้เพิ่มขึ้น 6-10% จากการนำโซลูชัน AI ระดับองค์กรมาให้ทีมงานและผู้ใช้บริการได้ใช้งานโดยตรง องค์กรของพวกเขากำลังจัดสรรงบประมาณด้าน AI อย่างน้อยครึ่งหนึ่งไปยังแพลตฟอร์ม Agentic แบบครบวงจร ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการออกแบบกระบวนการดำเนินงานใหม่ และเสริมสร้างความเป็นผู้นำทางการตลาดของพวกเขา”
“หากมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่าบริษัทที่นำ AI ของ Google Cloud มาใช้อย่างจริงจังนั้นสามารถก้าวข้าม ‘Pilot Purgatory’ หรือการติดอยู่ในช่วงนำร่องไปได้สำเร็จ และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เฉลี่ยสูงถึง 727% ภายในเวลาเพียง 3 ปี พร้อมคืนทุนได้ในระยะเวลาเพียง 8 เดือน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่ผู้ให้บริการเทคโนโลยี AI หรือแนวทางการทรานส์ฟอร์มทุกแห่งจะให้ผลลัพธ์แบบเดียวกันได้ ผ่านโครงการ PanyaThAI เรานำแบบแผนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จมามอบให้แก่องค์กรในประเทศไทย เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าถึงบริการ AI แบบครบวงจร พร้อมการฝึกอบรมและการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญที่จำเป็น ความมุ่งมั่นของเราคือการช่วยให้องค์กรสร้างทีมงานที่เข้าใจทั้งธุรกิจของตนและเทคโนโลยี AI ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแก้ไขโจทย์ที่ซับซ้อนและสร้าง ROI อย่างต่อเนื่องจาก AI ได้สำเร็จ โดยขณะนี้เราได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากองค์กรต่าง ๆ และตั้งขยายการสนับสนุนนี้ สู่องค์กรอื่น ๆ เพิ่มเติมจาก 15 องค์กรแรกที่เข้าร่วมโครงการ” นายอรรณพ กล่าวเสริม
โครงการ PanyaThAI ดำเนินตามแนวทางแบบ Full-Stack ของ Google ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่น่าเชื่อถือและออกแบบขึ้นเฉพาะ และ งานวิจัยล้ำสมัยจาก Google DeepMind ไปจนถึงโมเดลพื้นฐานระดับแนวหน้าภายในพอร์ตโฟลิโอขนาดใหญ่ของ Google ภายใต้โครงการนี้ ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลและ AI จาก Google Cloud พร้อมด้วยพันธมิตรในระบบนิเวศจะร่วมกันสนับสนุนให้องค์กรต่าง ๆ สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใน Stack เหล่านี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อพัฒนาและปรับใช้โซลูชัน Agentic AI ที่ตอบโจทย์และครอบคลุมการใช้งานหลากหลายรูปแบบ กระบวนการทำงาน และเวิร์คโฟลว์ โดยให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว ต้นทุน และความปลอดภัยในทุกมิติ
โครงการ PanyaThAI มุ่งสนับสนุนให้องค์กรสมาชิกนำแนวทางการทรานส์ฟอร์มที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของ Google Cloud ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแนวทางดังกล่าวได้แก่
– การร่วมกันพัฒนา AI Roadmap ที่ออกแบบเฉพาะและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง โดยผสานเข้ากับกลยุทธ์หลักขององค์กรเพื่อให้การดำเนินงานด้าน AI สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ พร้อมระบุพื้นที่หรือกระบวนการสำคัญที่ Agentic AI สามารถสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างชัดเจน
– ให้ความสำคัญกับการคัดเลือก Use Case ด้าน AI ที่เหมาะสมที่สุด โดยประเมินศักยภาพในการสร้างคุณค่าเทียบกับความเป็นไปได้และความพร้อมในการนำไปสู่การปฏิบัติจริง
– พัฒนาโซลูชัน AI แบบเปิดและรองรับการทำงานร่วมกันได้อย่างยืดหยุ่นสำหรับแต่ละ Use Case เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่ พร้อมต่อยอดและรองรับการใช้งานในอนาคตได้อย่างมั่นคง
-สร้างระบบกำกับดูแลศูนย์กลางสำหรับโครงการ AI ซึ่งครอบคลุมทั้งการนำหลักการ Responsible AI และกรอบความปลอดภัย Secure AI Framework (SAIF) มาปรับใช้จริง พร้อม Grounding โซลูชัน AI กับแหล่งข้อมูลหลักขององค์กร หรือที่เรียกว่า “Enterprise Truth” เพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์ที่ได้มีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ และสอดคล้องอย่างต่อเนื่อง
– กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนเพื่อใช้ติดตาม ประเมิน และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของโซลูชัน AI ตลอดวงจรชีวิต
– ยกระดับทักษะบุคลากรตั้งแต่นักพัฒนาไปจนถึงผู้บริหาร ผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้และฝึกอบรมแบบครบวงจรที่เน้นการลงมือปฏิบัติจริง อาทิ Google Skills และ ChaiyoGCP
ภายในงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ PanyaThAI องค์กรสมาชิกหลายแห่งได้สาธิตโซลูชัน AI ที่พวกเขาพัฒนาขึ้นผ่านตัวโครงการ อาทิ SE-Education: ก้าวสู่บทใหม่ของการค้นหาคอนเทนต์ด้านการศึกษาด้วย “บรรณารักษ์” อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซีเอ็ด (SE-ED) มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพด้านความรู้ของคนไทย ภายใต้ภารกิจหลักในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการ “ทำให้คนไทยเก่งขึ้น” ในฐานะผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายคอนเทนต์ด้านการศึกษาชั้นนำของประเทศ ซีเอ็ดเชื่อมโยงชุมชนเข้ากับความรู้ผ่านเครือข่ายร้านหนังสือ SE-ED Book Center และร้านหนังสือภายในมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วประเทศ พร้อมทั้งการมีตัวตนอย่างครบวงจรบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ทำให้เนื้อหากว่า 150,000 รายการเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่เคย
เพื่อสนับสนุนภารกิจดังกล่าว ซีเอ็ดได้ร่วมมือกับ Digithun Worldwide นำ Semantic Search Agent ระบบค้นหาอัจฉริยะที่เข้าใจความหมายของข้อความและขับเคลื่อนด้วย Generative AI มาเสริมในแพลตฟอร์ม SE-ED e-Marketplace ระบบนี้สร้างบน AI Stack ของ Google Cloud เพื่อช่วยยกระดับฟังก์ชันการค้นหาที่จากเดิมเป็นเพียงเครื่องมือค้นหาตามคีย์เวิร์ด ให้กลายเป็นบรรณารักษ์ และผู้คัดสรรเนื้อหาอัจฉริยะ
นายนิวัฒน์ ชาตะวิทยากูล กรรมการผู้จัดการ Digithun Worldwide กล่าวว่า เราได้ร่วมมือกับซีเอ็ดในการยกระดับแพลตฟอร์ม จากเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซแบบดั้งเดิมให้กลายเป็น e-Marketplace แบบครบวงจร ผ่านการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้ทันสมัยบน Google Cloud ซึ่งเป็นการยกเครื่องโครงสร้างระบบดิจิทัลครั้งใหญ่ เพื่อสร้างพื้นฐานประสิทธิภาพสูง ที่สามารถรองรับการทำงานของระบบ AI ที่ซับซ้อนในอนาคตได้ เมื่อมีพื้นฐานนี้รองรับแล้ว เราได้ออกแบบ AI Search Agent ของซีเอ็ด ให้สามารถเข้าใจแนวคิด มากกว่าแค่เพียงจับคู่คีย์เวิร์ดเท่านั้น โดยเริ่มจากการใช้ โมเดล Gemini Embeddings ของ Google เพื่อคัดเลือกสินค้าที่มีความสอดคล้องกับแนวคิดและบริบทของคำค้นหาของผู้ใช้
นายรุ่งกาล ไพสิฐพานิชตระกูล กรรมการผู้จัดการ SE-Education กล่าวว่า เราได้สร้างระบบนิเวศแบบออมนิชาแนลเพื่อส่งเสริมการแสวงหาความรู้และปลูกฝังวัฒนธรรมรักการอ่านให้กับประชาชนทั่วประเทศ ในฐานะผู้นำตลาด ซีเอ็ด มุ่งมั่นเป็นผู้บุกเบิกยุคใหม่ โดยมี AI Agent อัจฉริยะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยด้านการอ่านส่วนบุคคลขั้นสูงสำหรับคนไทยทุกคน จากความสำเร็จในช่วงแรกนี้ เรามีความมุ่งมั่นที่จะต่อยอดการผนวกความสามารถด้าน AI ที่มีประโยชน์และคุณค่ามากขึ้นเข้ากับแพลตฟอร์ม รวมถึงแอปพลิเคชันบนมือถืออย่าง SE-ED Reader และ e-Library by SE-ED เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ให้ตอบโจทย์ความต้องการได้ดียิ่งขึ้น
นางภาสพรรณี มหายศ ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจดิจิทัล SE-Education กล่าวว่า “ผ่านการใช้ส่วนประกอบพื้นฐาน AI อันทรงพลังเช่นเดียวกับที่อยู่เบื้องหลัง Google Search ระบบ AI Search Agent ของเราช่วยให้ผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม e-Marketplace ค้นหาและพบข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ประสบการณ์ที่พัฒนาขึ้นนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าการค้นหาและพบข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพนั้นส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อ ทำให้อัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้า (Conversion Rate) เพิ่มจาก 12% เป็น 27% ขณะเดียวกัน อัตราการออกจากหน้าเว็บไซต์ทันที (Bounce Rate) ลดเหลือ 10% และอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้าอยู่ที่เพียง 6%
ไทยวาโก้: ชูโมเดล Generative Media ‘โซลูชันที่ตอบโจทย์’ ช่วยเร่งการเปิดตัวสินค้าแฟชั่นออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมแฟชั่นของไทย เป็นที่รู้จักจากดีไซน์ที่ทันสมัย ความสบายระดับพรีเมียม และกระบวนการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ด้วยพอร์ตโฟลิโอแบรนด์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งชุดชั้นในอย่าง Wacoal ชุดออกกำลังกาย CW-X รวมถึงเสื้อผ้าเด็ก ENFANT ทั้งนี้ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน นายประณต เวสารัชวิทย์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย ไทยวาโก้ ประกาศว่าบริษัทได้ผนวก Creative AI Agent เข้าไปในห่วงโซ่คุณค่าแบบบูรณาการ ซึ่งโซลูชันนี้พัฒนาโดย Tridorian และขับเคลื่อนด้วย โมเดล Generative Media บน Vertex AI ของ Google เพื่อเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานหลักและช่วยให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เป็นต้น
ด้านบริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH กลุ่มธุรกิจประกันภัยและการเงินชั้นนำในภูมิภาค จับมือกับบริษัท ฮอไรซอน ที 8 จำกัด (HoriXonT8) บริษัทในเครือ TIPH ที่ร่วมทุนกับบริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8 ผู้นำด้าน AI-Powered Digital Transformation ประกาศความร่วมมือ ในการผลักดันอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่ยุค AI Transformation ภายใต้แนวคิด “AI for Insurance Transformation” ผ่าน 2 โครงการสำคัญ ได้แก่ TIP Smart Car Inspection ระบบตรวจสภาพรถด้วย AI โดยใช้เทคโนโลยี Gemini บน Google Cloud Platform ลูกค้าสามารถตรวจสภาพรถก่อนทำประกันภัยด้วยตนเองผ่าน LINE Official Account ระบบจะประมวลผลวิดีโอแบบ Real-time วิเคราะห์ความเสียหายอย่างแม่นยำ โปร่งใส และเชื่อมต่อข้อมูลกับระบบออกกรมธรรม์ทันที ช่วยลดเวลาการเดินทางเพื่อตรวจสภาพ และลดต้นทุนให้ลูกค้าได้มากกว่า 70%
และ TIP AI ผู้ช่วยอัจฉริยะภายในองค์กร โซลูชัน Generative AI Chat Assistant ที่พัฒนาร่วมกับ Google Cloud เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ Smart Organization ทุกข้อมูลถูกประมวลผลบน Private Environment ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน Data Privacy & Compliance ทำให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น