นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย หรือเงินเฟ้อ เดือน พ.ย.68 เท่ากับ 100.15 เมื่อเทียบกับเดือน พ.ย.2567 ลดลง 0.49% เป็นการลดลงต่อเนื่องเดือนที่ 8 โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ทั้งค่ากระแสไฟฟ้าครัวเรือน และน้ำมันเชื้อเพลิง ปรับลดลงตามสถานการณ์พลังงานในตลาดโลก และมาตรการลดภาระค่าครองชีพของภาครัฐ ส่งผลให้เงินเฟ้อ 11 เดือนของปี 68 (ม.ค.-พ.ย.) ลดลง 0.12%
โดยเงินเฟ้อที่ลดลงมาจากหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม 1.13% โดยสินค้าสำคัญที่ลดลง ได้แก่ กลุ่มพลังงาน ของใช้ส่วนบุคคล รถยนต์ ค่าโดยสารเครื่องบิน เสื้อผ้า ขณะที่สินค้าสำคัญปรับราคาสูงขึ้น อาทิ ค่าเช่าบ้าน ค่ารถ ค่าเดินทาง ส่วนหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้น 0.54% จากการสูงขึ้น อาหารสำเร็จรูป กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว ผักสด เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ กาแฟ เครื่องดื่มรสช็อกโกแลต ปลาและสัตว์น้ำ เครื่องประกอบอาหาร กะทิสำเร็จรูป ส่วนสินค้าราคาลดลง อาทิ ผลไม้สด มะม่วง องุ่น กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม ส้มเขียวหวาน ไข่ไก่
ทั้งนี้เงินเฟ้อติดลบติดต่อกัน 8 เดือน ไม่ได้มีสัญญาณอะไร เพราะปัจจัยที่เป็นตัวฉุด มาจากเรื่องพลังงาน และมาตรการช่วยลดภาระค่าครองชีพของภาครัฐ โดยเงินเฟ้อไทยเคยติดลบมากสุด 12 เดือน ช่วงปี 63 ซึ่งเป็นช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ทั้งปีลบ 0.85% และช่วงปี 2558 ที่ติดลบ 10 เดือน ซึ่งเป็นช่วงราคาน้ำมันตลาดโลกลด ทำให้ทั้งปีลบ 0.90%”
ส่วนแนวโน้มเงินเฟ้อเดือน ธ.ค.68 คาดจะติดลบต่ออีก โดยผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้ มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อไม่มากเพียง 0.01-0.05% โดยเงินเฟ้อทั้งปียังคงขยายตัวติดลบ 0.15-0.20% ซึ่งเป็นการกลับมาติดลบอีกครั้งในรอบ 5 ปี นับจากปี 64-67 ที่เงินเฟ้อขยายตัวเป็นบวกมาโดยตลอด ส่วนเงินเฟ้อในปี 69 สนค.ประเมินว่าจะอยู่ระหว่าง 0.0-1.0% ค่ากลางอยู่ที่ 0.5% มีสมมติฐานจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ 1.2-2.2% น้ำมันดิบดูไบ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราแลกเปลี่ยน 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนในปี 69 ปัจจัยที่จะกดดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น มาจากราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น คาดว่าจะมีจำนวน 34.9 ล้านคน ทำให้สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องอาจปรับขึ้น ส่วนปัจจัยที่ฉุดเงินเฟ้อ มาจากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ภาครัฐมีมาตรการลดค่าครองชีพต่อเนื่อง ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าโดยสารสาธารณะ ก๊าซหุงต้ม เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำเพียง 1.7% ต่ำกว่าปี 68 ที่ 2%