ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 สำรวจวันที่ 16-21 ธันวาคม จำนวน 1,300 ราย พบว่า 58.8% ยังไม่มีแผนเดินทางนอกพื้นที่ อีก 20.5% ยังไม่แน่ใจ เพียง 20.7% ระบุมีแผนเดินทาง โดยส่วนใหญ่ระบุกลับบ้านภูมิลำเนาต่างจังหวัด ตามด้วยท่องเที่ยวอย่างเดียว และท่องเที่ยวพร้อมกลับบ้าน โดยเป็นการเดินทางระยะใกล้มากขึ้นในภาคกลาง ตามด้วยภาคเหนือ ภาคอีสาน กทม.ปริมณฑล และ ใต้ สถานที่จะไปเที่ยวกว่า 54% ระบุเที่ยวภูเขา และ 61% ระบุไปกับครอบครัว อย่างไรก็ตาม เป็นการวางแผนเดินทางช่วง 30 ธันวาคม 2568 ถึง 4 มกราคม 2569
เมื่อดูพฤติกรรมใช้จ่ายตามวัย พบว่า วัยรุ่นกว่า 70% ระบุใช้เงินเพื่อตนเอง โดยกลุ่มสำรวจกว่า 73.9% ระบุใช้จ่ายเพื่อสังสรรค์/งานเลี้ยง ตามด้วยทำบุญ และซื้อสุรา/ไวน์ สะท้อนว่าคนเครียดและต้องการสังสรรค์คลายเครียดมากขึ้น ส่วนชนิดของสินค้าซื้อเพื่อมอบให้แก่กัน อันดับแรกคือกระเช้า ตามด้วย เงินสด/บัตรของขวัญ และอาหารเสริม
ส่วนใหญ่กว่า 70% บอกว่าใช้จ่ายเท่าเดิม เพราะมองว่าเศรษฐกิจยังไม่ดี ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และราคาสินค้าแพงขึ้น ส่วนที่ระบุใช้จ่ายเพิ่ม เพราะราคาสินค้าสูงขึ้น และเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อความผ่อนคลายและกลุ่มตัวอย่าง 58.4% มองว่าบรรยากาศในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 คงคึกคักพอๆกับปีก่อน ส่วนที่มองว่าคึกคักมากลดลงเหลือ 12.9% จากปีก่อน 26% ขณะที่28% มองว่าคึกคักน้อยถึงไม่คึกคัก
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษา ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ฯ กล่าวว่า ผลสำรวจสะท้อนว่าบรรยากาศปีใหม่จะยังคึกคัก จากการใช้จ่ายเพื่อกิจกรรมสังสรรค์ค่อนข้างมากในปีนี้ อยู่ที่ 1.62 หมื่นล้านบาท สูงกว่าทำบุญอยู่ที่ 1.05 หมื่นล้านบาท ขณะที่การเดินทางไปต่างประเทศเน้นประเทศใกล้ๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ดังนั้น ประเมินเงินใช้จ่ายสะพัดปีใหม่ 2569 สูงกว่าปีก่อน 2.1% อัตราบวกต่ำในรอบ 4 ปี และมีมูลค่า 111,609 ล้านบาท มูลค่าสูงสุดในรอบ 6 ปีนับจากปี 2562 โดยปัจจัยเอื้อต่อความรู้สึกใช้จ่ายคือ โครงการคนละครึ่งพลัส มีส่วนช่วยใช้จ่ายปลายปีนี้มาก แต่ก็มีสัญญาณระมัดระวังการใช้จ่าย และกังวลต่อสถานการณ์ในปี 2569 ยังสูง สะท้อนจากมุมมองต่อเศรษฐกิจส่วนใหญ่ ยังมองเศรษฐกิจปี 2568 และ 2569 ขยายตัวช่วง 1.5-2.0% ซึ่งโดยภาพรวมเศรษฐกิจ ไตรมาสแรกปี 2569 ถือว่ามีความสำคัญชี้ชะตาว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวหรือไม่ และสามารถผลักดันจีดีพีให้ขยายตัวเกิน 2% ได้ จากปัจจัยหนุนเงินสะพัดจากเลือกตั้งประมาณ 4-6 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามการเมืองต้องให้ความมั่นใจว่าเลือกตั้งแล้วจะได้รัฐบาลใหม่บริหารประเทศ ออกมาตรการกระตุ้นใช้จ่ายไม่เกินไตรมาส 2
ส่วนกรณีรัฐมาตรการกำกับร้านทองออนไลน์ หวังผลคุมบาทแข็ง มองว่าถูกทิศทางและเหมาะสมกับการคุมเงินบาทตอนนี้ ซึ่งต้องดูต่อไปว่าเมื่อใช้มาตรการแล้ว จะลดปัญหาเงินบาทแข็งค่าผิดปกติได้หรือไม่ ซึ่งภาคธุรกิจมองว่าเงินบาทที่เหมาะสมที่ไทยแข่งขันในตลาดส่งออกโลกอยู่ที่ 34-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แต่ไม่ควรปล่อยให้แกว่งหลุด 32.50-33.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ