กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมต่อยอด TCAC 2025 ดันไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ปี 2050 พร้อมขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจและเอกชนสู่โอกาสอย่างยั่งยืนในตลาดโลก
วิกฤตโลกร้อนไม่เพียงสร้างความเสี่ยงต่อภาคประชาชน แต่ยังส่งผลกระทบรุนแรงถึงภาคเศรษฐกิจและภาคธุรกิจทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ตอกย้ำให้เป้าหมาย Net Zero ขึ้นแท่นหมุดหมายสำคัญที่รัฐบาลทั่วโลกต้องเร่งดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย เพื่อทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิกลายเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี 2050 ซึ่งประเทศไทยเองก็ได้ประกาศเป้าหมายใหม่ให้สอดคล้องกับระดับนานาชาติ ขยับเป้าจากเดิมให้เร็วขึ้นมาอีก 15 ปี จากปี 2065 มาเป็นปี 2050 นับเป็นโจทย์แห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่มีความท้าทายต่อภาคอุตสาหกรรมและรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายกฯ อนุทิน

เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แบบกับงาน TCAC 2025 การประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 4 ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด” เมื่อวันที่ 29–30 กันยายนที่ผ่านมา ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เล่าว่ามีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมงานในปีนี้มากถึง 11,000 คน ภายในงานนอกจากจะเปิดโอกาสให้ภาคีเครือข่ายได้มาแชร์ประสบการณ์บนเวทีร่วมกัน ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและเยาวชนได้ดีไซน์แนวคิด เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดและผลักดันนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกัน

ซึ่งทางกรมฯ ก็ได้ให้ความสำคัญ พร้อมเตรียมผลักดันร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจจากเคยพึ่งพาพลังงานฟอสซิลไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำที่ยั่งยืน รวมถึงให้การสนับสนุนภาคธุรกิจทุกขนาด เพื่อผลักดันให้ธุรกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมรายงานข้อมูล Carbon Footprint ที่เกี่ยวกับการใช้พลังงานของธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากนี้ยังมีการนำกลไก Emission Trading Scheme (ETS) หรือระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยจะมีการกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ยังมีการกระตุ้นให้ภาคธุรกิจใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านกลไก Carbon Tax (ภาษีคาร์บอน) ในอนาคตจะมีการจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund) เพื่อเชื่อมโยงทุกภาคส่วน และสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจ เฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจเอสเอ็มอีให้หันมาให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็น Net Zero ในปี 2050 ได้
ดร.พิรุณ เล่าว่าอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ทางกรมเร่งดำเนินการคือการผลักดันโครงการ T-Ver (Thailand Emission Voluntary Program) สู่ระดับอาเซียนทั้งในรูปแบบ Standard และ Premium โดยโครงการ T-Ver เป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) พัฒนาขึ้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศโดยความสมัครใจ และสามารถนำปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น (คาร์บอนเครดิต) ไปขายในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจในประเทศได้

ถัดมาคือโครงการเมืองคาร์บอนต่ำและการพัฒนาตลาดคาร์บอน (Low-Carbon Cities and Carbon Market Development) ที่ทำงานร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารโลก (The World Bank) ภายใต้วัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการพัฒนาและยกระดับคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยให้มีคุณภาพและเป็นมาตรฐานสากล ควบคู่ไปกับการสร้างกลไกการมัดรวมคาร์บอนเครดิตที่รับรองโดยหน่วยงานรับรองในระดับสากล (Verified Emission Reductions – VERs) เพื่อสนับสนุนการซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศเป็นครั้งแรก พร้อมผลักดันประเทศไทยขึ้นเป็นศูนย์กลางตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของภูมิภาคในอนาคต รวมถึงสร้างองค์ความรู้สำหรับต่อยอด เพื่อพัฒนาคาร์บอนเครดิตในระดับประเทศ (Premium T–VER)