เปิดยุทธศาสตร์ดันเวียดนามขึ้นแท่นประเทศรายได้สูง คู่เศรษฐกิจโตแรงแซงประเทศไทยภายใน 4 ปี
เศรษฐกิจของไทยในอดีตเคยถูกวางเป้าการเติบโตให้ก้าวขึ้นสู่การเป็นเสือตัวที่ 5 ของอาเซียน แต่อยู่ไปอยู่มาเป้าที่เคยวางไว้กลับกลายเป็นเพียงฝัน ยิ่งมาเจอกับมรสุมสารพัดวิกฤตที่เล่นงานไทยมาตั้งแต่ต้มยำกุ้ง จนถึงโควิด–19 ยิ่งกดให้เศรษฐกิจไทยเริ่มค่อยๆ ถอยหลังลงคลอง…

นอกจากเศรษฐกิจไทยจะส่อแววตกต่ำจนน่าใจหายแล้ว กลับกันยังมีข้อมูลอ้างอิงจากผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ อำนวยเงินตรา อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เจ้าของเพจ Dr.VietNam ที่ตอกย้ำชัดว่ายังไงอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยก็ไม่น่าจะโตได้สวยในเร็วๆ นี้ เพราะในปีที่ผ่านมา (2567) ประเทศที่จิ๋วแต่แจ๋วอย่างสิงคโปร์ก็มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เหนือความคาดหมายจนสามารถเบียดไทยขึ้นที่ 2 ของอาเซียน ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือรายงานจาก IMF ที่มีการคาดการณ์ว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า ฟิลิปปินส์จะกลายเป็นชาติต่อไปที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจแซงไทย ตามมาติดๆ กับเวียดนามที่เตรียมวิ่งแซงหน้าไทยได้ในอีก 4 ปี หรือภายในปี 2029 นั่นเอง
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลเวียดนามดูเหมือนจะได้เปรียบไทย คือการที่ประชากรมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพของบ้านเขาอย่างเต็มกำลัง ที่นอกจากจะไม่ตั้งแง่ว่าทำแล้วจะรอดไหม กลับกันทั้งภาครัฐบาลและประชาชนยังเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้สตาร์ทอัพเจ้าน้อยๆ เติบโตอย่างแข็งแรง จนสามารถแจ้งเกิดยูนิคอร์นไปแล้วหลายราย ยกตัวอย่างเช่น VNG บริษัทเทคโนโลยียูนิคอร์นแห่งแรกของเวียดนาม ซึ่งเป็นเจ้าของ Zalo แอปพลิเคชันส่งข้อความที่ได้รับความนิยมและใช้งานมากที่สุดในเวียดนาม
นอกจากนี้ เวียดนามยังมียูนิคอร์นในสาย FinTech มากมาย อาทิ MoMo สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีทางการเงินที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในเวียดนาม ที่ขึ้นแท่นยูนิคอร์นไปเมื่อช่วงประมาณปลายปี 2564 หลังจากระดมทุน Series E มูลค่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้สำเร็จ สำหรับยูนิคอร์นรายถัดไปได้แก่ VNPAY ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานการรับชำระเงิน โดย VNPAY มีแอปพลิเคชันที่ให้บริการชำระเงินที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งการชำระเงินในรูปแบบออนไลน์ การชำระเงินผ่าน QR code และการชำระเงินผ่านช่องทางอื่นๆ รวมถึงให้บริการโซลูชันการชำระเงินดิจิทัลให้กับธุรกิจอีกด้วย

(ขอขอบคุณรูปจาก Javon Swaby, www.pexels.com)
สิ่งสำคัญอีกข้อที่ทำให้เวียดนามได้เปรียบประเทศไทย คือการมีแรงงานวัยหนุ่มสาวที่มีทักษะหลายด้าน และมีความพร้อมในการทำงานรองรับภาคอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลยังประกาศยกเลิกกฎหมายจำกัดการมีลูก เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาอัตราการเกิดที่ลดลง

(ขอขอบคุณรูปจาก Marcus Nguyen, www.pexels.com)
ก้าวต่อไปที่น่าจับตาไม่แพ้กัน คือการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี 2045 ควบคู่ไปกับการพัฒนาภาคการเกษตรให้เติบโตได้อย่างมีศักยภาพ เพื่อช่วยยกระดับเศรษฐกิจให้สามารถโตได้ไม่น้อยไปกว่าปีละ 7%
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะรู้สึกหมดหวัง แต่ต้องบอกว่าที่ปลายอุโมงค์ยังมีแสงสว่างเล็กๆ อยู่ เพราะเครื่องยนต์ภาคการท่องเที่ยวยังพอมีแรงขับเคลื่อน แม้จะยังไม่กลับมาฟื้นเต็ม 100% แต่ไทยก็ยังติดโผประเทศหมุดหมายปลายทางในใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตอกย้ำความเป็นประเทศที่น่าใช้ชีวิตหลังเกษียณจากข้อมูลอ้างอิงของการจัดอันดับ Global Retirement Index 2025 ที่ไทยก็ยังเกาะ 10 อันดับไว้อย่างเหนียวแน่น เนื่องจากปัจจัยด้านระบบสาธารณสุขที่ต่างชาติยกนิ้วและมั่นใจว่ายังไงก็จะได้รับการดูแลที่ดีเยี่ยมกลับไปอย่างแน่นอน