สงครามทิ้งบอมบ์ราคาน้ำมันโลกถึงไทย แข่งกันแพงตลอดไป ประชาชนรับกรรมซื้อน้ำมันแพงตลอดกาล…

สงคราม ทิ้งบอมบ์ ราคาน้ำมัน โลกถึงไทย แข่งกันแพงตลอดไป ประชาชนรับกรรมซื้อน้ำมันแพงตลอดกาล...

เหตุการณ์สำคัญในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านกลับปะทุมารุนแรงขึ้นอีกครั้ง ทำให้เกิดความกังวลกันไปทั่วโลกว่าสงครามในตะวันออกกลางจะขยายวงกว้างและยืดเยื้อ เพราะสถานการณ์นี้เป็นปัจจัยทางจิตวิทยาที่กระทบไปยังสินทรัพย์สำคัญ ตลาด การค้า อย่างชนิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เว็บไซต์ของสำนักข่าวเยรูซาเลมโพสต์รายงาน โดยอ้างการเปิดเผยของสำนักข่าว ABC News ว่าอิสราเอลได้ยิงขีปนาวุธโจมตีดินแดนอิหร่านในช่วงเช้าวันนี้ (19 เม.ย.) โดยรายงานดังกล่าวมีขึ้นไม่นานหลังจากแหล่งข่าวท้องถิ่นระบุว่าเกิดเหตุระเบิดขึ้นในหลายพื้นที่ ได้แก่ ในเมืองอิสฟาฮานทางตอนกลางของอิหร่าน, ในเขตอัสซุวัยดาอ์ทางตอนใต้ของซีเรีย, ในกรุงแบกแดด และในเขตบาบิลของอิรักในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งก็สร้างความแตกตื่นให้กับทุกวงการทุกตลาด

ที่เห็นได้ชัดถึงผลกระทบที่เกิดต่อใจนักลงทุน นั่นก็คือตลาดหุ้นไทยที่นอกจากจะผันผวน ยังทำให้พากันเทขาย เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในตลาดหุ้น ปิดเย็นวันศุกร์ (19 เม.ย. 67) ร่วงกราว ดิ่งลงกว่า -28.94 จุด หรือ -2.13% ที่ 1,332.08 จุด มูลค่าการซื้อขาย 57,497.73 ล้านบาท อีกทั้งดัชนีปรับตัวลงแรง โดยเฉพาะช่วงท้ายตลาด ทำจุดต่ำสุด 1,330.24 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1,343.32 จุด ส่งผลให้ภาพรวมทั้งสัปดาห์นี้ที่มีวันทำการเพียง 3 วัน ตลาดทำสถิตินิวโลว์ ร่วงลงไปแล้วกว่า 60 จุด จากจุดปิดตลาดช่วงก่อนเข้าสู่วันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ที่ 1,396.38 จุด

ขณะที่ตลาดทองคำเองก็ยังผันผวน ขึ้นๆ ลงๆ ตลอดทั้งวัน จนในที่สุดก็ปิดรวม +150 บาท ปรับราคาไป 19 รอบ ส่งผลให้ทองคำแท่ง รับซื้อคืน 41,500 บาท และขายออก 42,600 บาท ส่วนทองรูปพรรณ รับซื้อคืน 40,750.08 บาทและขายออก 42,100 บาท อ้างอิงตลาดสปอตที่ 2,382 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และอิงค่าเงินบาท 36.86 บาทต่อดอลลาร์

และตลาดที่ต่างจับตามองไม่แพ้ทองคำและตลาดหุ้น ก็คือตลาดน้ำมันดิบ ที่เมื่อมีสงครามก็ดันราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกให้พุ่งขึ้นไปอีก ซึ่งทันทีที่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่าน ส่งผลทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งสูงขึ้นถึง 3.63% แตะ 90.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันเวสต์เท็กซัสของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3.66% สู่ 85.76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ก็ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ไปหมาดๆ เมื่อ 18 เม.ย. 67 โดยคาดการณ์ไว้ที่ 86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก 85 ดอลลาร์ก่อนหน้านี้ และได้ปรับราคาคาดการณ์ในปี 2568 ขึ้นเป็น 82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจาก 80 ดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มอยู่กรอบบนของช่วงราคาที่คาดการณ์ เพราะซัพพลายจากสหรัฐค่อนข้างน่าผิดหวัง ประกอบกับความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่คาดว่าจะยืดเยื้อต่อไป

คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เคยให้ความเห็นไว้ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในสมการที่ทุกคนคาดการณ์อยู่แล้วว่าภายหลังที่อิสราเอลโจมตีทางอากาศถล่มสถานกงสุลอิหร่านในกรุงดามัสกัส เป็นชนวนเหตุสำคัญที่อิหร่านจะต้องเอาคืน ดังนั้นจะต้องดูปฏิกิริยาการตอบกลับ ซึ่งเหตุการณ์ต่อจากนี้จะต้องดูว่าอิสราเอล พร้อมสหรัฐและพันธมิตรจะโต้ตอบกลับอย่างไร ซึ่งมองผลกระทบเบื้องต้นในระยะสั้นจะกระทบแน่นอน เพราะทำให้ผู้คนตกใจ ทางจิตวิทยาคาดว่าหลังจากเทศกาลสงกรานต์มานี้ราคาน้ำมันตลาดโลกจะต้องขยับเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ หากสงครามบานปลาย เช่น การปิดช่องแคบฮอร์มุส ที่ถือเป็นช่องทางขนส่งน้ำมันกว่าครึ่งของโลก ก็จะเป็นวิกฤตใหญ่แน่นอน เพราะหากมองช่วงที่ผ่านมาของการโจมตีเรือบรรทุกสินค้าชาติตะวันตกในทะเลแดงแค่นั้น ก็กระทบเศรษฐกิจแล้ว ทั้งค่าระวางเรือ และเรื่องของซัพพลายเชนต่างๆ สะดุด ดังนั้นสิ่งที่จะเห็นผลกระทบรุนแรงคือราคาน้ำมันดิบทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จนถึง 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แน่นอน

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายก็กังวลว่าราคาน้ำมันในบ้านเรา ไอ้ที่แพงอยู่แล้วก็มีแนวโน้มจะแพงขึ้นได้อีก เพราะนอกจากปัจจัยเรื่องสงคราม ยังมีเรื่องของมาตรการภาษีน้ำมันที่อุดหนุนดีเซลไว้ ได้เวลาโบกมือบ๊ายบาย ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันดีดหรือแพงขึ้นได้อีก

และแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ หวยออกในทันใด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (19 เม.ย. 67) บอร์ดกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีมติขึ้นราคาดีเซล 50 สตางค์ต่อลิตร ให้มีผลในช่วงตี 5 ของวันเสาร์ (20 เม.ย. 67) ทันที เพราะหมดมาตรการลดภาษีในวันที่ 19 เม.ย.แล้ว และเตรียมที่จะทยอยขึ้นราคาแบบขั้นบันได สาเหตุหลักๆ ก็มาจากการที่กองทุนฯ ทนแบกภาระหนี้จำนวนมากมานาน จนทำให้ปัจจุบันสถานะกองทุนฯ ติดลบไปแล้วกว่า 103,000 ล้านบาท

จากนั้นปั๊มก็ประกาศขึ้นราคาตามแบบสับ หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าปั๊มแทบไม่ทัน ทั้งโออาร์ และบางจาก ประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลแบบฉ่ำ 50 สตางค์ต่อลิตร ส่วนน้ำมันประเภทเบนซิน แก๊สโซฮอล์ยังไม่ขึ้น มีผลตั้งแต่เวลา 05.00 น. วันที่ 20 เม.ย. 67

ทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องถิ่น ราคากลุ่มน้ำมันดีเซลของโออาร์จะปรับขึ้น ได้แก่ ซุปเปอร์พาวเวอร์ดีเซล B7 ลิตรละ 42.94 บาท ดีเซล B7 ลิตรละ 30.94 บาท และดีเซล ลิตรละ 30.94 บาท ส่วนบางจากไฮพรีเมี่ยมดีเซลS B7 ลิตรละ 45.14 บาท ไฮดีเซล S B7 ลิตรละ 30.94 บาท ไฮดีเซล S B20 ลิตรละ 30.94 บาท

คุณวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 4.77 บาทต่อลิตร หรือคิดเป็นเงินประมาณกว่า 8,000 ล้านบาทต่อเดือน หากไม่มีการชดเชย ราคาน้ำมันดีเซลที่แท้จริงจะอยู่ที่ประมาณ 36 บาทต่อลิตร และหากปล่อยให้มีการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลในระดับเดิมต่อไปเรื่อยๆ จะทำให้กองทุนฯ ติดหนี้เพิ่มมากขึ้น อาจจะกระทบกับวินัยการเงินและระดับความน่าเชื่อถือของกองทุนฯ ได้

อีกทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่เริ่มประทุขึ้นอีกครั้ง อาจส่งผลทำให้ราคาน้ำมันทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น กระทรวงพลังงานจะพยายามรักษาระดับราคาน้ำมันให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงภาระของประชาชนเป็นหลัก แต่ก็ต้องพิจารณาถึงภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปพร้อมกันด้วย และเตรียมหามาตรการช่วยเหลืออื่นๆ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในสัปดาห์หน้า

ไม่ว่ากองทุนน้ำมันจะตองแบกหนี้เพราะใช้เงินกองทุนมาอุ้มราคาน้ำมันแบบใด แต่ถึงอย่างไรประชาชนผู้ใช้น้ำมันก็ยังต้องควักจ่าย ไม่ว่าจะแพงมากแพงน้อย เรียกได้เลยว่าเป็นผู้รับกรรมอยู่ท้ายสุดของห่วงโซ่ ของจริงของแทร่ แน่นอนที่สุด ตลอดไปปปปป…

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles