หลัง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยหลักใหญ่ใจความ คือร้านค้าผับบาร์ยังคงขายเหล้าเบียร์ได้เฉพาะในช่วงเวลา 11.00–14.00 น. และ 17.00–24.00 น. เช่นเดิม และมีประเด็นเรื่องบทลงโทษปรับผู้ดื่ม ที่ร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงที่เกินเวลาห้ามจำหน่าย
โดยกระทรวงสาธารณสุข ให้เหตุผลว่าเวลาที่ขายได้ให้เป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งหลังจาก พ.ร.บ. ฉบับนี้ออกมา ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการดังกล่าว ออกมาพิจารณาประกาศฉบับใหม่ ดังนั้น จึงทำให้ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 23 มิ.ย. 2568 ซึ่งเป็นประกาศล่าสุดก่อนหน้า ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่
ซึ่งหลังจากประกาศกฎหมายฉบับนี้ออกมาก็ทำให้เกิดดรามา วิพากษ์วิจารณ์กันในวงกว้าง ซึ่งมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บ้างก็บอกสวนทางกับนโยบายที่รัฐปูทางไปยังการกระตุ้นภาคท่องเที่ยว ดึงดูดต่างชาติให้มาปล่อยจอย พักผ่อนในไทยได้แบบไม่ต้องกังวล
<มีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย>
คุณเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สมาชิกสภาผู้แทน (สส.) พรรคประชาชน (ปชน.) และอดีตรองประธาน คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ โพสต์ข้อความถึง พ.ร.บ.ฉบับนี้ โดยระบุว่าเป็น “จุดจบสายลาก” โดยสรุปเนื้อหาของกฎหมายที่บังคับใช้ใหม่ฉบับนี้ว่า การดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่ขายเพื่อประโยชน์ทางการค้าในเวลาห้ามขายนั้นมีความผิดและผู้ดื่มโดนปรับด้วย โดยมองว่ามีผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค ที่หากกฎหมายนี้ถูกบังคับใช้ จะทำให้ผู้ดื่มหลายราย “รีบดื่มให้ทันก่อนเวลา” ซึ่งการดื่มหนัก ดื่มเร็ว เกินไป อาจทำให้ร่างกายได้รับแอลกอฮอล์เร็วและมากเกินไป นำไปสู่ภาวะขาดน้ำ อาการคลื่นไส้ อาเจียน และอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ วิธีแก้ไขที่เขาเสนอคือ ผู้ดื่มต้องมีสติ สั่งแต่พอดี คำนวณเวลาดื่มต่อแก้วให้ดี และเฝ้ามองดูเวลาอย่างสม่ำเสมอ
ด้านคุณ เขมิกา นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA) ไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มหลักการดังกล่าว โดยระบุว่า เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการนักท่องเที่ยวต่างชาติ คณะกรรมาธิการควรกำหนดมาตรการในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยพิจารณาถึงผลกระทบในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และไม่ควรกำหนดมาตรการที่เป็นการจำกัดสิทธิของผู้บริโภคมากจนเกินไป เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างสมดุลระหว่างภาคเศรษฐกิจ ภาคสังคม และภาคสาธารณสุข
ขณะที่คุณวิษณุ ศรีทะวงษ์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม มองว่าการกำหนดเวลานั่งดื่มทำให้เกิดความรับผิดชอบในสังคม และเป็นการสร้างค่านิยมใหม่ขึ้นในสังคม เช่นเดียวกับคุณชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ บอกว่าเขาเห็นด้วย แต่ควรมีการกำหนดข้อยกเว้นเพื่อไม่ให้กระทบสิทธิเสรีภาพมากจนเกินไป
<ต้องพิจารณาถึงผลกระทบภาคท่องเที่ยว>
คุณอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ย. มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เสนอว่า จากประกาศที่ออกมาก่อนหน้านี้ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมีข้อสงสัยว่าทำไมจึงต้องห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และห้ามนั่งดื่มต่อในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. และหลังเวลา 24.00 น. อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมและตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวเป็ยสำคัญ
ประเด็นดังกล่าวได้รับการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจไทย ที่มีความเป็นห่วง เพราะประกาศดังกล่าวจะสร้างผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจสถานบันเทิง
ด้านคุณเสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มคาราบาว ผู้ก่อตั้งโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง และ เบียร์คาราบาว-เบียร์ตะวันแดง กล่าวว่า การออกพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์(พ.ร.บ.) แต่ละครั้งไม่ได้ส่งผลดีต่อธุรกิจ เศรษฐกิจ และผู้บริโภค รวมถึง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ โดยเฉพาะประเด็นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านที่จำหน่ายได้แต่เกินเวลาห้ามขาย ทั้งนี้ หากมองมิติผลกระทบด้านเศรษฐกิจจะมีมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดของเจ้าหน้าที่รัฐ
คุณณัฐชัย เตชะวิเชียร ผู้ก่อตั้งโรงเบียร์ Brewave กล่าวว่า มีความกังวลเกี่ยวกับกฎหมายห้ามดื่มในร้านนอกเวลาขาย หรือ ห้ามนั่งแช่ลากยาวหลังเที่ยงคืน คาดว่าน่าจะสร้างผลกระทบเยอะพอสมควร เพราะแม้จะมีกระแสข่าวว่า อาจมีการผ่อนปรนให้ลูกค้านั่งต่อได้ถึง 00.30 น. แต่พฤติกรรมของลูกค้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น หลัง 22.30 น. ก็คงหยุดสั่งเครื่องดื่มกันแล้ว
ส่วนการที่คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปลดล็อกขายเหล้า-เบียร์ เวลา 14.00-17.00 น. มองว่า ไม่ได้มีผลกระทบกับธุรกิจ เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมีจำนวนลูกค้าเข้ามาใช้บริการไม่มากอยู่แล้ว เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเวลาทำงานของกลุ่มลูกค้า
นอกจากนี้ ยังมีรายละเอียดเรื่องการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ที่ยังไม่มีความชัดเจน มองว่า ควรออกกฏหมายลูกเพื่อสร้างความชัดเจนมากกว่านี้ บางครั้งทางร้านออกสินค้าตัวใหม่ก็ไม่แน่ใจว่า สามารถประกาศให้ลูกค้ารับรู้รับทราบได้หรือไม่ อยากได้กฎหมายลูกตรงนี้ออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะกฎหมายไทยขึ้นอยู่กับการตีความ
<รัฐบาลปลดล็อกเวลานั่งดื่ม ทดลองก่อน 6 เดือน>
ล่าุสุดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีมติให้สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในระหว่างเวลา 14.00 ถึง 17.00 น. โดยจะทดลองเป็นเวลา 6 เดือน ก่อนจะประเมินผล โดยมอบหมายคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลำดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ไปศึกษาและสรุปข้อมูลเสนอให้กรรมการรับทราบต่อไป เพื่อจะประเมินดูว่าแต่ละจังหวัดมีผลบวกหรือลบ หรือมีข้อกังวลกับมาตรการดังกล่าวอย่างไร
ส่วนการนั่งดื่มหลังจากที่ร้านปิดจำหน่ายเวลาเที่ยงคืน จะไม่สามารถจำหน่ายได้ แต่ผู้ดื่มสามารถนั่งต่อได้อีก 1 ชั่วโมง โดยกรณีจะไม่กำหนดระยะเวลาประเมินผล โดยที่ประชุมรับทราบสถิติการเกิดอุบัติเหตุพบว่าจะเกิดช่วงหลังเวลาเที่ยงคืนสูงสุด ขณะที่พื้นที่ที่กำหนดเป็นโซนนิ่ง ยังมีการปฏิบัติตามเดิม โดยสองกรณีจะเปิดรับฟังความคิดเห็น 15 วัน ก่อนประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในต้นเดือนธ.ค.นี้ นอกจากนั้นทางกระทรวงมหาดไทย แจ้งว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถานบริการ ซึ่งที่ประชุมพิจารณาหลายมุมหลายด้านรวมถึงข้อกังวลและข้อเสนอแนะ ยืนยันว่าไม่ได้ละทิ้งกระบวนการทางสาธารณสุข การป้องกันต่างๆ แต่ต้องพิจารณาองค์ประกอบด้านเศรษฐกิจและสังคม ควบคู่กันไปด้วย ต้องทำให้เกิดความสมดุล ระหว่างการรักษาสุขภาพประชาชนและส่งและการส่งเสริมทางเศรษฐกิจ ที่มีผู้ประกอบการการท่องเที่ยว ภาคธุรกิจที่ต้องดูแลเช่นกัน
<ต่อลมหายใจธุรกิจร้านอาหารและท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น>
คุณสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร บอกว่าพอใจกับการรอมา 5 ปีกับการผลักดันปลดล็อกคำสั่งคณะปฏิวัติห้ามขายแอลกอฮอล์ 14.00-17.00 น. ของธุรกิจภาคบริการ ต้องขอขอบคุณคณะรัฐบาลชุดนี้ และนายกฯอนุทิน รวมถึง คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่เข้าใจสถานการณ์และบริบทของประเทศไทยในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ทางชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ได้เรียกร้องไปก่อนหน้านั้นหลายครั้งว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่เปลี่ยนมาเป็นประเทศที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก รวมถึงเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่อยากเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว โดยเฉพาะปัจจุบันซึ่งการแข่งขันการท่องเที่ยวของแต่ละประเทศสูงมากและยิ่งปลายปีซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวกำลังเลือกที่จะเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยด้วย
หากปลดล็อกคำสั่งคณะปฏิวัติฉบับนี้ไปได้ จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับกลุ่มภาคธุรกิจร้านอาหารให้สามารถเติบโต และเป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง GDP ให้กับประเทศไทยสามารถเติบโตได้ในปีนี้และปีหน้า รวมทั้งยังส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยอีกทางหนึ่งด้วย เพราะทุกวันนี้ต่างชาติเมื่อเข้าไปร้านอาหารวัตถุประสงค์หลักไม่ใช่เข้าไปดื่มแอลกอฮอล์แต่อยากเข้าไปทานอาหาร นักท่องเที่ยวเหล่านี้ก็ต้องการสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาทานควบคู่ไปกับการทานอาหารด้วย พอมีกฎหมายฉบับนี้ที่ห้ามขาย นักท่องเที่ยวตัดสินใจไม่เข้าร้านในช่วง 14.00–17.00 น. ไปเข้าอีกทีคือช่วงเย็น ซึ่งทำให้ 14.00-17.00 น. เป็นช่วงที่ร้านอาหารค่อนข้างจะเงียบเหงาและไม่สามารถทำรายได้ได้ และยังสร้างความมึนงง และไม่เป็นมาตรฐานสากลให้กับนักท่องเที่ยวที่มาจากทั่วโลก
อย่างไรก็ดี ทางชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารเข้าใจว่ามีหน่วยงานมีความกังวลว่าจะมีผลกระทบต่อเยาวชน ซึ่งทางชมรมได้อธิบายว่าขอให้มั่นใจว่าจะไม่มีผลกระทบต่อเยาวชนใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะกฏหมายฉบับนี้ได้เพิ่มบทลงโทษ สำหรับร้านค้าที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้ามาด้วย แต่ระหว่างที่รอคำสั่งนายกประกาศ 15 วันนี้จะเกิดสูญญากาศกระทบกับนักท่องเที่ยวที่อยู่ในประเทศบ้าง แต่อาจจะกระทบใหญ่กับการตัดสินเลือกมาเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่กำลังอยู่ระหว่างเลือกที่จะมาพอสมควร
ภาคธุรกิจร้านอาหาร มองว่าการปลดล็อกเวลาจำหน่ายและนั่งดื่มแอลกอฮอลล์ จะช่วยเพิ่มรายได้อย่างต่ำ 20% คิดเป็นมูลค่าเบื้องต้นกว่า 1,000 ล้านบาท ในช่วง 2 เดือนจากนี้ ซึ่งจะตรงกับช่วงฉลองปีใหม่ โดยเฉพาะการดื่มของนักท่องเที่ยว ที่สามารถนั่งดื่มได้ยาวขึ้นกว่าเดิม
ด้านรศ. ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลมีการปลดล็อกคำสั่งคณะปฏิวัติห้ามขายแอลกอฮอล์ 14.00-17.00 น. ของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นับว่าเป็นการส่งเสริมภาคท่องเที่ยวและสถานบันเทิง รวมถึงธุรกิจภาคกลางคืน โดยคาดว่าจะมีเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ 1,000-3,000 ล้านบาทในช่วง 2 เดือนสุดท้ายปี 2568 และสะพัดกว่า 10,000-20,000 ล้านบาทต่อปี
<ชั่งน้ำหนัก ระหว่างผลเสียต่อสุขภาพ กับผลดีต่อเศรษฐกิจ>
รายงานจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ทำการศึกษา เรื่อง “ผลกระทบของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย” ใช้ข้อมูลประเทศไทยระหว่างปี ค.ศ.1990-2019 ทั้งในภาพรวม และจำแนกรายประเภท โดยผศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กลับพบว่า ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อหัวก็มีแนวโน้มสูงขึ้นจากประมาณเฉลี่ย 5 ลิตรต่อคนต่อปี ในปี 1990 ในปี 2019 เพิ่มเป็น 7 กว่าลิตร และยังพบว่ายิ่งมีการดื่มในภาพรวม และเบียร์ สุรา มากขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวยิ่งต่ำลง สอดคล้องกับงานวิจัยที่ใช้ข้อมูลของสหรัฐอเมริกา และประเทศกำลังพัฒนา เพราะการดื่มกระทบกับสุขภาพ ทำให้ขาดงานบ่อย ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ตายก่อนวัยอันควร
ด้านสุขภาพนั้น ฝั่งวิชาการมองว่าจะส่งผลต่อสุขภาพคนไทยอย่างมาก เพราะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ โรค NCDs อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนที่มีสาเหตุจากการดื่มสุรา
“ แน่นอนว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ซึ่งเป็นเสาหลักเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากผลกระทบของกฎหมายใหม่ แต่จะทำอย่างไร ให้เกิดความสมดุลระหว่างการปกป้องสุขภาพ กับการรักษาความสามารถในการแข่งขัน และความคาดหวังของการกระตุ้นตัวเลขเศรษฐกิจท่องเที่ยว “