“ทรัมป์”เขย่าโลกอีกรอบ มาตรการรีดภาษีรัฐบาลสหรัฐถูกเบรก ไม่ทันไรกลับมาบังคับใช้ต่อได้ชั่วคราว สะเทือนส่งออกไทยยังไม่พ้นความเสี่ยง เพราะความไม่แน่นอนยังลากยาว 

โลกดีใจได้ไม่กี่วัน กับกรณีที่ ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ตัดสินว่ามาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและสั่งระงับการบังคับใช้ทันที การตัดสินนี้เกิดขึ้นหลังจาก 12 รัฐในสหรัฐฯ รวมถึงนิวยอร์กและแคลิฟอร์เนีย ยื่นฟ้องต่อศาล โดยระบุว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตของประธานาธิบดีในการกำหนดภาษีศุลกากร ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ

<สหรัฐทำโลกปั่นป่วนอีกครั้ง>
เมื่อวันพุธ(28 พ.ค.) ศาลได้ยกเลิกคำสั่งภาษีดังกล่าว และห้ามการบังคับใช้ในอนาคต โดยระบุว่าการกำหนดภาษีเป็นอำนาจของสภาคองเกรส ไม่ใช่อำนาจของประธานาธิบดีภายใต้ IEEPA

ศาลมีคำตัดสินว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่มีอำนาจภายใต้กฎหมายอำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในการกำหนดมาตรการภาษีศุลกากร และสั่งให้ระงับการบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้า 10% ในวงกว้างกับเกือบทุกประเทศทั่วโลกที่ทรัมป์ประกาศในวันที่ 2 เมษายน รวมทั้งภาษีตอบโต้ในอัตราสูงกว่าสำหรับสินค้าจากคู่ค้ารายใหญ่ ตลอดจนระงับมาตรการภาษี 20% กับเม็กซิโก แคนาดา และจีน ที่บังคับใช้ก่อนหน้านั้นเพื่อกดดันให้ปราบปรามเรื่องยาเสพติดเฟนทานิลและผู้อพยพ

ซึ่งจากคำตัดสินส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนต่อทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ คู่ค้าทั่วโลก และการเมืองภายในพรรครีพับลิกัน 

<คำตัดสินศาลสร้างแรงกระเพื่อม>
หลังคำตัดสินออกมา ส่งผลให้ข้อตกลงการค้าสะดุด เพราะภาษีที่ถูกระงับลดอำนาจต่อรองของทรัมป์ ปัจจุบันสหรัฐฯ มีกรอบข้อตกลงเบื้องต้นกับแค่สหราชอาณาจักร (ลดภาษีรถยนต์) และจีน (เพิ่มโควตานำเข้าถั่วเหลือง) การเจรจากับญี่ปุ่น อินเดีย และสหภาพยุโรปชะลอตัว เพราะคู่ค้าเริ่มสงสัยว่าภาษีอาจไม่บังคับใช้ได้จริง อนิเกต ชาห์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืนและการเปลี่ยนผ่านที่ Jefferies ชี้ว่า คู่ค้าอาจรอดูผลอุทธรณ์ก่อนตัดสินใจ

ส่งผลต่อความไม่แน่นอนในธุรกิจ เช่น ผู้ผลิตเหล็กและรถยนต์ สับสนกับอนาคตของภาษี อาจชะลอการลงทุน ผู้บริโภคก็อาจเผชิญราคาสินค้าผันผวน เช่น สินค้าจีนที่อาจถูกภาษีในอนาคต

แรงกดดันในพรรครีพับลิกัน กลุ่มต่อต้านขาดดุลในพรรค เช่น วุฒิสมาชิก รอน จอห์นสัน อาจไม่สนับสนุนร่างกฎหมายลดภาษี หากขาดรายได้จากภาษีนำเข้า ทรัมป์อาจต้องยอมลดขนาดการลดภาษี หรือตัดงบประมาณเพิ่ม เช่น งบสวัสดิการหรือการศึกษา ซึ่งอาจจุดชนวนการประท้วงจากประชาชน รวมทั้งผลต่อนโยบายเฟนทานิล ภาษีป้องกันยาเสพติดจากจีนและเม็กซิโกถูกบล็อก ทำให้ทรัมป์เสียหน้าในนโยบายต่อต้านยาเสพติด ซึ่งเป็นหนึ่งในวาระหาเสียงสำคัญ

<รัฐบาลทรัมป์ไม่รอช้า ยื่นอุทธรณ์โดยไว>
ด้านรัฐบาลทรัมป์ยื่นอุทธรณ์ทันที และศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินระงับคำสั่งของศาล CIT ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชม.อย่างไรก็ตามยิ่งเพิ่มความสับสนและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีและนโยบายการค้าของทรัมป์ ท่ามกลางความกังวลว่าการต่อสู้ทางกฎหมายจะยืดเยื้อ 

ทรัมป์ โพสต์ร่ายยาวในทรูธ โซเชียล ขานรับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ และพยายามชี้ให้เห็นว่าเขาตกเป็นเป้าของระบบยุติธรรมที่มีอคติ พร้อมทั้ะระบุด้วยว่า เขาหวังว่าศาลฎีกาสหรัฐฯ จะคว่ำการตัดสินใจของศาล CIT ที่จะคุกคามประเทศด้วยความรวดเร็วและความเด็ดเดี่ยว

นอกจากนี้ปีเตอร์ นาร์วาร์โร ที่ปรึกษาการค้าของทรัมป์ บอกด้วยว่า ถึงแม้หากรัฐบาลแพ้คดี ก็ยังสามารถบังคับใช้มาตรการภาษีอื่น ๆ ได้โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายฉบับอื่น โดยในการขึ้นภาษีรถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียม ทรัมป์อ้างประเด็นความมั่นคงเพื่อบังคับใช้มาตรา 232 ของกฎหมายขยายการค้าฉบับปี 2505 และทรัมป์สามารถขยายการเก็บภาษีนำเข้าภายใต้กฎหมายดังกล่าวให้ครอบคุมสินค้าอื่น ๆ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และไม้แปรรูป

ทรัมป์ ยังสามารถใช้มาตรา 301 ของกฎหมายการค้าฉบับปี 2517 ซึ่งเขาเคยใช้ในภารทำสงครามภาษีกับจีนในรัฐบาลสมัยแรก และมาตรา 338 ของกฎหมายการค้าฉบับปี 2473 ที่ไม่ได้ใช้มานานหลายสิบปี และอนุญาตให้ประธานาธิบดีขึ้นภาษีได้สูงถึง 50% สำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศที่เลือกปฏิบัติต่อสหรัฐฯ 

<ดีใจได้ไม่นาน มาตรการรีดภาษีทรัมป์กลับมาใช้ได้ต่อ>
ต่อมาเมื่อวันพฤหัสบดี (29 พ.ค.)  ตามคำร้องขอของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้ระงับคำสั่งของศาลการค้าระหว่างประเทศ (CIT) เมื่อวันพุธ(28 พ.ค.)เป็นการชั่วคราว และศาลอุทธรณ์สั่งให้สองฝ่ายส่งคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับการยับยั้งมาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 

ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ไม่ได้ให้ความเห็นหรือเหตุผลใดๆ เพียงระบุว่าจะระงับคำตัดสินของศาลคดีการค้าไว้ชั่วคราว เพื่อพิจารณาคำอุทธรณ์ของฝ่ายรัฐบาล และสั่งให้โจทก์ในคดีนี้ตอบกลับคำสั่งศาลอุทธรณ์ภายในวันที่ 5 มิ.ย. และสั่งให้ฝ่ายรัฐบาลตอบกลับภายในวันที่ 9 มิ.ย.

ในเอกสารที่รัฐบาลทรัมป์ยื่นต่อศาลอุทธรณ์นั้น กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่า คำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ เมื่อวันพุธได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการทางการทูตของรัฐบาล และแทรกแซงอำนาจเฉพาะตัวของปธน.ทรัมป์ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ รัฐบาลจึงร้องขอให้ศาลอุทธรณ์ระงับคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศเป็นการชั่วคราว ขณะที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอุทธรณ์อย่างเป็นทางการ 

<คำตัดสินของศาลสหรัฐมีผลอย่างไรบ้าง>
จากคำตัดสินของศาลของประเทสมหาอำนาจที่ออกมาเพียงไม่กี่วันก็ทำเอาทั่วโลกระส่ำ ซึ่งจะมีผลต่อ สหรัฐฯ ผู้บริโภคอาจเจอราคาสินค้าผันผวน เช่น สินค้าจากจีนที่อาจถูกภาษีใหม่ ธุรกิจ เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ GM อาจชะลอการลงทุนรอความชัดเจน การเมืองภายในพรรครีพับลิกันอาจแตกแยก หากทรัมป์ยืนกรานผลักดันร่างกฎหมายภาษี

ในขณะที่ จีน-สหภาพยุโรป อาจชะลอการเจรจา รอดูผลอุทธรณ์ ส่วนญี่ปุ่น อาจตอบโต้ด้วยภาษีรถยนต์สหรัฐฯ หากทรัมป์เก็บภาษีใหม่  ด้านอินเดีย อาจลดโควตานำเข้าข้าวสาลีสหรัฐฯ สร้างความเสียหายให้เกษตรกร

รวมไปถึงอาจกระทบห่วงโซ่อุปทาน เช่น การผลิตชิปในเอเชียที่สหรัฐฯ พึ่งพา ราคาสินค้าอาจผันผวนทั่วโลก หากศาลฎีกายืนตามคำตัดสินเดิม ทรัมป์อาจต้องทบทวนแผนเศรษฐกิจทั้งหมด เช่น ลดขนาดการลดภาษี หรือตัดงบประมาณเพิ่ม ซึ่งอาจจุดชนวนการประท้วงจากกลุ่มสวัสดิการ ในทางกลับกัน หากชนะอุทธรณ์ ภาษีอาจกลับมา แต่ความสัมพันธ์กับคู่ค้าจะยิ่งตึงเครียดกว่าเดิม 

<คำตัดสินศาลเป็นแค่ เบรกมือฉุกเฉิน > 
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ศาลการค้าสหรัฐสั่งยกเลิก Trump Tariffs อย่างเป็นทางการแต่เรื่องนี้ยังไม่จบ เพราะล่าสุดทำเนียบขาวยื่นอุทธรณ์เรียบร้อยแล้ว และอาจจะต้องไปถึงศาลฎีกาก็ได้ ความไม่แน่นอนเลยยังอยู่กับเราอีกสักพัก ซึ่งมองว่าคำพิพากษานี้เป็นเพียง “เบรกมือฉุกเฉิน” ที่สำคัญต่อการใช้อำนาจฝ่ายบริหารในนโยบายการค้านโยบายการค้าระหว่างประเทศ ไม่ควรเปลี่ยนแปลงตามอารมณ์หรือกลยุทธ์การเมืองในแต่ละช่วงเวลาหากศาลไม่ยับยั้งคำสั่งเหล่านี้อาจเห็นการใช้คำว่า “ภัยคุกคาม” เป็นข้ออ้างเพื่อออกภาษีทุกครั้งที่มีปัญหาทางการทูต

ในมุมของประเทศไทย มองว่าเป็นข่าวดี แม้จะยังไม่มีความชัดเจนด้านภาษีต่างๆ แต่ลดความตึงเครียดจากสถานการณ์นี้ หากไม่ถูกสหรัฐเก็บภาษีที่ 36% อีกต่อๆ ไป โดยอาจหนุนภาพรวมเศรษฐกิจไทยได้ 

<ความไม่แน่นอนยังลากยาว ไทยยังต้องเจรจากับสหรัฐ>
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทยกล่าวว่า หลังศาลปฏิเสธข้อโต้แย้งของรัฐบาลที่ระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีอำนาจในการกำหนดภาษีฝ่ายเดียวในการออกมาตรการเก็บภาษีทั่วโลก คำสั่งศาลดังกล่าวจะมีผลให้ มีการยกเลิกภาษีแบบครอบคลุมในอัตรา 10% และภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลจากจีน แคนาดา และเม็กซิโก โดยไม่ครอบคลุม ภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ (ภายใต้ Section 232 และ Section 301 ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้) ซึ่งเมื่อกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯได้ยื่นหนังสืออุทธรณ์ คดีนี้อาจไปถึงศาลฎีกาสหรัฐฯ ซึ่งอาจเป็นผู้ตัดสินขั้นสุดท้าย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไปคือ ทรัมป์อาจหันไปใช้ Section 232 และ 301 เพื่อขยายรายการสินค้าหรือประเทศที่ถูกเก็บภาษีเพิ่มเติม แต่ต้องผ่านกระบวนการสอบสวนโดย USTR และกระทรวงพาณิชย์ซึ่งใช้เวลา หรืออาจผลักดันให้รัฐสภาออกกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการเก็บภาษี

ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) อาจแข็งค่าขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับการถือครองสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ที่ลดลง ราคาทองลดลง ขณะที่เฟดอาจเฝ้าจับตาความคาดหวังเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ตลาดทุนอาจฟื้นตัวในระยะสั้น แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองและการค้าอาจกดดันในระยะยาว

เพื่อแก้ไขปัญหา ความไม่สมดุลในดุลบันชีชำระเงิน (emergency balance of payments) ซึ่งดุลการค้าเป็นส่วนหนึ่งของดุลบันชีชำระเงินนี้ แต่กฏหมายนี้เคยใช้แค่ตอนประธานาธิบดี Jimmy Carter ปี 1979 สมัยที่สหรัฐเผชิญเงินเฟ้อสูง ค่าเงินอ่อน วิกฤติราคาน้ำมัน  ดังนั้น จากนี้ไปความไม่แน่นอนยังมีสูง ดีใจได้ในระยะสั้น  ไทยยังต้องเจรจาลดการขาดดุลการค้าที่ไทยไม่เสียประโยชน์ โดยเฉพาะลดการสมสิทธิจากจีน ขณะที่เรายังต้องการการลงทุนจากจีน แต่ดร.อมรเทพ ย้ำว่า ไม่เอาลงทุนศูนย์เหรียญ หรือที่ SME ไทยหรือผู้ประกอบการไม่ได้อะไร…

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles