“ทองคำ” ร้อนแรงไม่แผ่ว ทั้งทองไทย ทองโลก ขยันทำนิวไฮ เหตุผลคนแห่ซื้อเก็งกำไร รายใหญ่ตุนเข้าคลัง กระตุ้นราคาพุ่งต่อเนื่อง ราคาทองไทยมองเห็น 70,000 อยู่ไม่ไกลอีกแล้ว 

ในขณะที่เศรษฐกิจในบ้านเราดูแล้วจะยังซึมๆ ไม่ไปหน้ามาหลัง ท่องเที่ยวก็ยังดูจะฝากผีฝากไข้ไม่ได้เท่าไหร่ ลุ้นช่วงสิ้นปีอีกทีว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังปักหมุดไทยแลนด์อยู่อีกหรือไม่ แม้ว่าตอนนี้เราจะมีรัฐบาลใหม่มาเป็นไม้ต่อ ชูนโยบาย Quick Big Win เรียกความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ ก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ เข้าคูหากาบัตรเลือกตั้งกันอีกรอบ ตอนนี้เศรษฐกิจฟื้นจริง ก็อาจจะยังน๊าา..

แต่ราคาทองคำนั้นช่างเป็นโลกคู่ขนาน กลับคึกคักมาก เพราะช่วงนี้ราคาทองคำร้อนแรง พุ่งติดจรวดก็ไม่ปาน เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งทองโลก ทองไทยแข่งกันทำนิวไฮไม่ยั้ง โดยเมื่อวันศุกร์( 17 ต.ค.68 ) ราคาทองคำไทยพุ่งทุบสถิติสูงสุดในประวัติการณ์ ทองรูปพรรณ 68,000 แตกไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย เช่นเดียวกับทองคำแท่ง ปิดราคาขายออกที่ 67,200 บาท เป็นครั้งแรก ทำนิวไฮกันไปแล้วทั้งคู่ 

โดยราคาทองคำ (ณ วันศุกร์ ที่17 ต.ค.) สมาคมค้าทองคำรายงานราคาปิดตลาด ปรับขึ้นไปถึง 1,900 บาท แม้จะผันผวนปรับขึ้น-ลง ถึง  31 ครั้ง ทำให้ทองคำแท่งรับซื้อ 67,100 บาท ขายออก 67,200 บาท ทองคำรูปพรรณ รับซื้อ 65,764.08 บาท และขายออก 68,000 บาท อ้างอิงราคา Gold Spot ที่ 4,343 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เงินบาท 32.67 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

ผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการค้าทองคำมานานนับ 70 ปี อย่างคุณจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ถึงกับออกปากเลยว่า ขณะนี้สถานการณ์ทองคำเปลี่ยนไปแล้ว จากก่อนหน้านี้ที่ซื้อแล้วขาย เพราะจากการที่ราคาทองแพง แต่แพง คนยิ่งแห่ซื้อทองคำแท่งเยอะขึ้นและซื้อเก็บไว้ ตั้งแต่ผมทำธุรกิจมา 70 ปี ไม่เคยเห็นราคาทองพุ่งแรงและขึ้นไม่หยุดแบบนี้มาก่อน อย่างที่ 17 ต.ค.68 ราคาวิ่งขึ้นมา 2,000 บาท ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน  เฉพาะตุลาคมผ่านมาครึ่งเดือนราคาทองขึ้นแล้วเกือบ 9,000 บาท รวมทั้งปีขึ้นมา 24,950 บาท แล้ว 

อย่างไรก็ตาม คุณจิตติ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่าราคาทองคำที่ปรับขึ้นเร็วและแรงในขณะนี้ ถือว่าราคาปรับขึ้นสูงผิดปกติ จนคาดการณ์แนวโน้มราคาไม่ถูก ปัจจัยหลักมาจากคนไม่เชื่อมั่นเงินดอลลาร์ ทำให้นักลงทุนรายย่อย รายใหญ่ รวมถึงธนาคารกลางหลายประเทศ หันมาซื้อทองคำถือไว้ เพราะมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและเป็นเทรนด์ของโลก ทำให้ในปี 2568 มีการนำเข้าทองคำมากขึ้น คาดว่าจะใกล้ 200 ตัน จากสถิติ ณ เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 180 ตันต่อปี หลังเกิดแรงซื้อเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งไม่ใช่เฉพาะตลาดประเทศไทย เป็นกันทั่วโลก ทำให้ทองคำโลกขาดตลาดและใช้เวลารอหลายวัน

สมาคมค้าทองคำ ได้มีการปรับเป้าหมายใหม่ โดยคาดการณ์ถึงสิ้นปี 2568 นี้ ราคาทองคำโลกแตะ 4,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาทองคำไทยแตะบาทละ 70,000 บาท สำหรับในปี 2569 คาดการณ์แนวโน้มยังเป็นเทรนด์ขาขึ้นคาดว่าทองโลกมีโอกาสขึ้นไปแตะ 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทองคำไทยน่าจะมากกว่าบาทละ 70,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับค่าเงินบาทและสถานการณ์การเมืองไทยที่จะมีการเลือกตั้ง รวมถึงสงครามการค้ารัสเซียกับยูเครนและสงครามการค้าสหรัฐกับจีนด้วย 

ด้านนักวิเคราะห์ทองคำ คุณอารีรัตน์ มุราชัย หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD ระบุว่า ราคาทองคำเปิดสัปดาห์ด้วยทิศทางบวกอย่างแข็งแกร่ง และในช่วงต้นสัปดาห์ปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่ สะท้อนถึงกระแสความต้องการถือทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่ยังคงหนาแน่น 

โดยมีปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงสนับสนุนขาขึ้น ได้แก่

1. ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่อาจปะทุขึ้นอีกครั้ง : โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่เก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีก 100% เป็น 130% จากเดิม 30% และประกาศควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญ ซึ่งมีผลวันที่ 1 พ.ย. 68 ขณะที่จีนได้ทำการตอบโต้ทันที และพร้อมใช้มาตรการสวนกลับ ทำให้ตลาดกังวลว่าสงครามการค้ารอบใหม่อาจปะทุขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะมีท่าทีอ่อนลง แต่ตลาดก็ยังคงมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และถือเป็นความเสี่ยง

2. ปัญหาการเมืองในสหรัฐฯ : โดยเฉพาะวิกฤต Government Shutdown ที่เข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 และยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องงบประมาณ ขณะที่การเลิกจ้างเริ่มเกิดขึ้น ส่งผลให้ตลาดลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งเป็นผลบวกต่อราคาทองคำในระยะสั้น

3. เฟดลดดอกเบี้ยหนุนราคาทองคำ : ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยตลาดคาดการณ์ในเดือนต.ค. 68 มีโอกาสสูงถึง 96% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ส่วนในเดือนธ.ค. 68 คาดว่ามีโอกาสที่ 87% ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และผลตอบแทนพันธบัตรลดลง ซึ่งเป็นแรงหนุนสำคัญต่อราคาทองคำในขณะนี้ 

โดยภาพรวมราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มเชิงบวก เนื่องจากราคายังคงเคลื่อนไหวเหนือระดับสำคัญที่ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือคิดเป็นราคาทองไทยประมาณ 61,960 บาท และสามารถรักษาทิศทางในกรอบขาขึ้นได้อย่างมั่นคง 

ด้านคุณพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล (YLG) เห็นว่าปัจจุบันราคาทองคำยังพุ่งขึ้นไม่หยุด โดยสัปดาห์นี้ราคาทองโลกขึ้นไป 300 ดอลลาร์/ออนซ์ ทะลุ 4,300 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยวายแอลจี ให้เป้าหมายระยะสั้นที่ 4,435 ดอลลาร์/ออนซ์ คิดเป็นราคาทองไทยที่บาททองคำละ 78,000 บาท ซึ่งหากผ่านไปได้ มีโอกาสจะเห็นราคาทองจะขึ้นไปถึง 4,900 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือคิดเป็นราคาทองไทย ที่บาททองคำละกว่า 80,000 บาท ได้ในสิ้นปีนี้ (ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 32 บาท/ดอลลาร์)

แต่หากเห็นราคาทองคำย่อตัว มองว่าเป็นการปรับฐานเพื่อไปต่อ และเชื่อว่าราคาทองจะไม่ลงลึก เพราะแนวโน้มยังเป็นขาขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นราคาคงยังไปไม่ถึง 5,000 ดอลลาร์/ออนซ์ เพราะหากขึ้นไปได้ถึงระดับนั้น จะต้องมีปัจจัยแย่มาก ๆ จนทำให้นักลงทุนตัดสินใจเปลี่ยนทุกสินทรัพย์ให้เป็นทองคำ

คุณพวรรณ์ ยังบอกด้วยว่าอยู่ในแวดวงทองคำมา 30 ปี ก็ยังไม่เคยเห็นราคาทองคำขึ้นแรงแบบนี้ แต่ในอดีตเมื่อปี ค.ศ. 1980 ราคาทองคำขึ้นมาถึง 200% เพียงปีเดียว ขณะที่ปัจจุบัน ราคาทองโลกปรับขึ้นมาแล้วจากต้นปี (YTD) 64% ส่วนราคาทองคำไทยปรับขึ้นมาแล้ว 53% ดังนั้นจึงมองว่ายังมีโอกาสปรับขึ้นได้ต่อ จากความต้องการทองคำยังมีมากขึ้น โดยเฉพาะจากในประเทศหลัก เช่น จีน อินเดีย และประเทศในกลุ่ม BRICS ธนาคารกลางต่าง ๆ นักลงทุน กองทุน ETF ทองคำ ซึ่งคือนักลงทุนทั่วไป โดยจะเห็นว่าความต้องการทั่วโลกเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ

นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยทองคำ ยังได้เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำประจำเดือน ตุลาคม 2568  พบว่า ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนกันยายนที่ผ่านมา จากระดับ 76.56 จุด มาอยู่ที่ระดับ 76.70 เพิ่มขึ้น 0.14 จุด หรือคิดเป็น 0.18% ตอกย้ำความเชื่อมั่นราคาทองและสินทรัพย์ทองคำของเหล่าบรรดานักลงทุน  

โดยปัจจัยที่ทำให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ ความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย การอ่อนค่าของดอลล่าร์สหรัฐฯ นโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ความตึงเครียดของสงครามการค้า และแรงซื้อทองคำจากธนาคารประเทศต่าง ๆ

เช่นเดียวกับ ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำระยะ 3 เดือนในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 (ตุลาคม–ธันวาคม) ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 จากระดับ 64.46 จุด มาอยู่ที่ระดับ 66.69 จุด เพิ่มขึ้น 2.23 จุด หรือคิดเป็น 3.46% 

จะเห็นได้ว่าการลงทุนทองคำในเดือนตุลาคมนี้ ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น ภายใต้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ ตลอดจนธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกสองครั้งภายในสิ้นปีนี้ โดยราคาทองคำยังได้รับแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แรงขายทำกำไรระยะสั้นอาจกดดันให้ราคาผันผวนในช่วงสั้นได้  

คอทองคำน่าจะน่าจะกำลังใจฟู ตื่นตาตื่นใจกับราคาทองคำที่กำลังเบ่งบานอยู่ในช่วงนี้ แต่อย่างไรก็ตาม อย่าลืมประเมินความเสี่ยง และบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบกันด้วย ส่วนแอด(แอดมิน)มีแต่ทองคำเปลวปิดทองพระ….ขายกับเขาบ้างได้ไหม?

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles