ช็อกไปตามๆกัน กับการประกาศ “ปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน 1 บาทต่อลิตร” เพราะกลายเป็นว่า กระทรวงการคลังได้เสนอวาระลับในที่ประชุม ครม. เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ( 6 พ.ค.68) โดย ครม.ก็ได้เห็นชอบ และประกาศกฎกระทรวงการคลังเรื่อง การกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 42) พ.ศ.2568 ในราชกิจจานุเบกษา และมีผลทันทีในวันต่อมา (7 พ.ค.68)
จึงทำให้ “ขึ้นภาษีน้ำมัน” กลายเป็น “TOPIC” วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก ซึ่งกระทรวงการคลัง ได้ให้เหตุผลในการเสนอขึ้นภาษีน้ำมันในครั้งนี้ว่า เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง สมควรเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าน้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ำมัน ประเภทน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล เพื่อให้รัฐได้มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เป็นการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ และเสถียรภาพทางการคลังของรัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกเกิดขึ้นจากภาวะสงครามการค้า
โดยการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต และภาษีส่วนท้องถิ่น ของน้ำมันประเภทต่างๆ ที่มีการปรับเปลี่ยนมีรายละเอียดดังนี้
-น้ำมันเบนซิน 95 จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 6.50 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 7.50 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 1 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.650 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.750 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.10 บาทต่อลิตร
-น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (E10) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 5.85 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 6.75 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.90 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.585 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.675 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.090 บาทต่อลิตร
-น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 (E10) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 5.85 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 6.75 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.90 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.585 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.675 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.090 บาทต่อลิตร
-น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (E20) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 5.20 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 6.00 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.520 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.600 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.080 บาทต่อลิตร
-น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (E20) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 0.975 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 1.125 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.15 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.0975 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.1125 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.080 บาทต่อลิตร
-น้ำมันดีเซล (H-Diesel) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 5.99 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 6.92 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.93 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.599 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.6920 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.093 บาทต่อลิตร
นักวิชาการติง ขึ้นภาษีน้ำมัน ซ้ำเติมคนใช้น้ำมัน เหตุเพราะเก็บภาษีอีวีไม่เข้าเป้า
รศ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Jessada Denduangboripant (อาจารย์เจษฎ์)” แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย โดยระบุข้อความว่า “ห่ะ ! กรมสรรพสามิตบอก ต้องขึ้นภาษีน้ำมัน เพราะเก็บภาษีสรรพสามิตรถ EV ไม่ได้ตามเป้า ? แล้วทำไมมาลงเอากับคนใช้รถสันดาปล่ะ ?
(ข่าว) ซ้ำเติมประชาชน! คนไทยอ่วมอีก สรรพสามิตขึ้นภาษีน้ำมัน 1 บาท สวนทางราคาน้ำมันโลกที่ดิ่งเหว ทำจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี
วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์ค่าครองชีพที่ตึงตัวอยู่แล้วของประชาชนชาวไทย กลับต้องเผชิญกับข่าวร้ายอีกครั้ง เมื่อกรมสรรพสามิตประกาศปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันทุกชนิด โดยมีผลบังคับใช้ทันทีตามประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความไม่พอใจและเกิดคำถามในวงกว้าง เนื่องจากเกิดขึ้นในขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
น.ส.กุลยา ตันติเตมิต อธิบดีกรมสรรพสามิต ได้ออกมาเปิดเผยถึงเหตุผลของการปรับขึ้นภาษีในวันนี้ โดยชี้แจงว่า มาตรการนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อช่วยให้การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตเป็นไปตามเป้าหมายมากขึ้น หลังจากที่การจัดเก็บภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ การปรับขึ้นภาษีน้ำมันสูงสุดลิตรละ 1 บาท จะช่วยให้กรมสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 2,900 ล้านบาทต่อเดือน ” หนึ่งในโพสต์ที่อาจารเจษได้โพสต์ไปเมื่อช่วง 3 วันที่แล้ว
อาจารย์เจษ ยังได้โพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการขึ้นภาา๊น้ำมันอีกหลายโพสต์ เช่น “น้ำมันเชื้อเพลิง เป็นสินค้าจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันของประชาชน และเป็นต้นทุนในด้านการขนส่งของเศรษฐกิจประเทศ ..
จึงไม่ควรแค่จะขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน (เพื่อหาเงินเติมคลัง) แต่ควรจะหาทางลด เพื่อช่วยเหลือประชาชน ด้วยซ้ำครับ
อย่างน้อย ช่วงที่ราคาน้ำมันโลกลดลงต่อเนื่องแบบนี้ ก็ควรจะตรึงค่าภาษีสรรพสามิตไว้ จะได้ทำให้ราคาน้ำมันของผู้บริโภคในประเทศลดตามไปด้วย (ไม่ใช่ทำมาเป็นโม้ว่า ช่วยตรึงค่าน้ำมันให้คงที่ไว้ แต่จริงๆ คือเก็บภาษีเพิ่ม)
ไปขึ้นภาษีสรรพสามิตสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ อย่าง เหล้า เบียร์ไวน์ บุหรี่ ฯลฯ ดีกว่าครับ .. ถ้าจะหาเงินโปะ แก้รัฐถังแตก” เป็นต้น
คลังแจงขึ้นภาษีน้ำมัน 1 บาท ไม่กระทบราคาน้ำมัน เพราะยังเท่าเดิม
กรมสรรพสามิต คุณกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต ได้ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กรมสรรพสามิตได้เสนอ ครม. เห็นชอบการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน 1 บาทต่อลิตร โดยในขณะเดียวกันก็ได้มีการพิจารณาปรับลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลง เนื้อด้วยสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกในปัจจุบันที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นการปรับความสมดุลระหว่างการจัดเก็บรายได้ภาษีของรัฐและเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม
และยังได้ย้ำด้วยว่า การปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันดีเซลและเบนซินในครั้งนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันและไม่ก่อให้เกิดภาระค่าครองชีพของประชาชนแต่อย่างใด
ด้านคุณเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ออกมายืนยันอีกเสียงว่า การปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันครั้งนี้จะไม่กระทบต่อราคาน้ำมันใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นเพียงกลไกภายในของรัฐบาลในการปรับสมดุลรายรับเท่านั้น และเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงาน โดยการปรับภาษีสรรพสามิตครั้งนี้จะถูกชดเชยโดยการลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในอัตราที่เท่ากัน เพราะฉะนั้น “ผลต่อราคาน้ำมันจึงเป็นศูนย์ น้ำมันราคาเท่าเดิม”
กบน. ลดเงินส่งเข้ากองทุนฯรับขึ้นภาษี
คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) กระทรวงพลังงาน ได้ประกาศตรึงราคาน้ำมันก่อนหน้านี้ด้วย และกองทุนฯได้เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รองรับกรณีกระทรวงการคลังปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันสูงสุดไม่เกิน 1 บาทต่อลิตร ป้องกันการปรับขึ้นราคาน้ำมันหน้าปั๊ม ช่วยเหลือประชาชนช่วงเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลรายรับกองทุนน้ำมันฯ ลดลง 49.57 ล้านบาทต่อวัน เหลือประมาณ 344.40 ล้านบาทต่อวัน ในขณะที่เงินกองทุนฯ ติดลบรวม -47,779 ล้านบาท
กองทุนน้ำมันฯ-เก็บภาษีน้ำมันซ้ำซ้อนภาระตกที่ประชาชน
นักวิชาการด้านนโยบายพลังงาน อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ จากทีดีอาร์ไอ (TDRI)ได้เคยเปิดเผยข้อมูลบนเว็บไซต์ policywatch ตอนหนึ่งว่า การที่รัฐบาลนำกองทุนน้ำมันฯไปอุดหนุนราคาพลังงานเป็นระยะเวลาที่นานจนเกินไป เพื่อเป็นเครื่องมือเอาใจประชาชน แต่ไม่ได้นำไปใช้รักษาความผันผวนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จนไปเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น ภาคขนส่ง ต้นทุนจะสูงขึ้นหากราคาดีเซลปรับขึ้น และกระทบค่าครองชีพประชาชนให้สูงขึ้น แต่ในปัจจุบันนี้รัฐบาลกดราคาดีเซลไว้นานมาก จนทำให้ผู้ประกอบการรถยนต์สามารถปรับรูปแบบของเครื่องยนต์ได้ โดยเฉพาะรถยนต์หรู จากเดิมใช้น้ำมันเบนซิน เปลี่ยนไปเป็นน้ำมันดีเซลได้ แปลว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนน้ำดีเซลเพื่อช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเปราะบาง แต่คนที่ได้รับประโยชน์ส่วนหนึ่งก็คือกลุ่มที่มีรายได้สูง
ต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ของกองทุนน้ำมันก่อน เพื่อพยุงราคาน้ำมัน ไม่ให้ผันผวนเกินไป คำว่าผันผวนเกินไปก็คือ เวลาที่มันสูงขึ้นจนเกิดภาระค่าครองชีพของประชาชน แต่ตอนนี้ภาครัฐใช้กลไกกองทุนน้ำมันเป็นเครื่องมือในการเอาใจประชาชน ก็คือกดราคาไว้นานมากจนทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคในทางที่ผิด
ทีดีอาร์ไอ ยังเสนอให้ลดเก็บภาษีน้ำมันซ้ำซ้อน โดยต้องพิจารณาก่อนว่า ไทยมีโครงสร้างน้ำมันอย่างไร ถ้าพิจารณาเฉพาะตัวเนื้อราคาน้ำมันจริง ๆ อยู่ที่ประมาณ 20 กว่าบาทเท่านั้น แต่ไทยมีการเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อน เช่น ภาษีท้องถิ่น (ภาษีเทศบาล) ภาษีสรรพสามิต เงินอุดหนุนกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และเงินอุดหนุนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งส่งผลให้ภาษีน้ำมันของไทย (ข้อมูล ณ ปี 67) อยู่ที่ประมาณ 7 บาทต่อลิตร สูงกว่าภาษีน้ำสิงคโปร์ ที่ 5.50 บาทต่อลิตร และเวียดนามที่ 1.70 บาทต่อลิตร จะเห็นได้ว่าภาษีส่วนนี้ทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้น ภาครัฐควรจะมีการปรับเพดานภาษี ไม่ให้กระทบต่อประชาชนมาก โดยต้องปรับแนวคิดว่า ไม่ใช่เก็บภาษีเพื่อสร้างรายได้ให้ภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องลดภาระประชาชน
“ต้องดูว่าอะไรที่สามารถช่วยลดหย่อนได้บ้าง อย่างเช่น อาจจะเก็บแค่ภาษีสรรพสามิตไหม ภาษีท้องถิ่นอาจจะไม่จำเป็นไหม หรือว่าเข้ากองทุนน้ำมันอย่างเดียว ไม่ต้องเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงาน โดยต้องปรับแนวคิดว่า การเก็บภาษีน้ำมันนั้นวัตถุประสงค์หลักไม่ใช่เพื่อเก็บรายได้เข้าประเทศ แต่เพื่อให้ประเทศมีเงินพอที่จะใช้เงินส่วนนี้ลดภาระค่าครองชีพประชาชน โดยจะเห็นได้ว่าการเก็บภาษีที่มันซ้ำซ้อนทำให้เฉพาะส่วนของภาษีนั้นประมาณ 7 บาท ทั้ง ๆ ที่ตัวเนื้อน้ำมันแค่ 20 บาท จะเห็นว่าเกือบ 50% ที่เราต้องจ่ายภาษีพวกนี้ และก็เป็นภาระของประชาชน “
ขณะเดียวกัน รัฐบาลจะต้องมีการปรับโครงสร้างการคิดราคาน้ำมันใหม่ โดยไม่ให้อ้างอิงกับราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ เพราะว่าโรงกลั่นน้ำมันในประเทศสามารถกลั่นน้ำมันได้เองเกือบ 100% แล้ว และนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศแค่นิดเดียวเท่านั้น เพราะการไปอ้างอิงกับราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ จะมีการบันทึกค่าขนส่งทางเรือ ค่าประกันภัยการเดินทาง และค่าปรับคุณภาพน้ำมัน ซึ่งจริง ๆ ไม่ได้เกิดขึ้น ถ้าสามารถยกเลิกได้ ก็จะทำให้ราคาน้ำมันของไทยถูกลงได้กว่า 1 บาท
ภาระภาษีสุดท้ายตกอยู่ที่ประชาชน
ทีดีอาร์ไอ เปิดเผยด้วยว่า ที่ผ่านมาค่าการตลาดน้ำมันของโรงกลั่นเอกชน มักจะถูกสังคมตีตราเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันแพง แต่ค่าการตลาดที่เอกชนได้ถือว่าไม่ได้เยอะมาก และเป็นสิ่งที่ควรจะต้องให้ เพราะมันคือส่วนกำไรที่ผู้ประกอบการควรจะได้ เมื่อดูในส่วนของตัวเนื้อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยกตัวอย่างที่ 20 บาท บวกกับค่าภาษี 7 บาท ส่วนที่เหลือเป็นค่าการตลาดเพียงนิดเดียว แต่ภาครัฐควรแก้เรื่องภาษีที่มันซ้ำซ้อนมาก ควรเลือกเก็บตัวใดตัวหนึ่งก็พอ
จากการปรับภาษีน้้ำมันช็อกคนไทย ในมุมของรัฐอาจจะบอกว่าปรับแค่ 1 บาท ไม่กระทบแน่นอน แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่ตามมากับภาษีน้ำมัน ยกเว้นราคาน้ำมันที่รัฐใช้อำนาจตรึงได้ แต่ต้นทุนของการขนส่ง การตั้งค่าแรง ราคาสินค้า ล้วนเป็นปัจจัยที่ประกอบกัน ดังนั้นสุดท้ายแล้ว “คนที่จะต้องแบกรับภาระจริง ๆ ก็คือประชาชน” ที่ต้องใช้เงินจ่าย ใช่หรือไม่??