ข่าวลือสะพัดก่อนหน้าที่ว่า นายกรัฐมนตรี ” อนุทิน ชาญวีรกูล ” จะยุบสภา กลับกลายเป็นจริงในชั่วข้ามคืน โดยเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีอนุทิน ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า “ผมขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชนครับ” ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวที่พรรคฝ่ายค้าน ประกอบด้วยพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ซึ่งจะทำให้นายกรัฐมนตรีไม่สามารถยุบสภาฯ ได้ จึงมีการยุบสภาฯ เกิดขึ้น
และจากการประกาศยุบสภา ได้มีผลตั้งแต่ 12 ธ.ค.2568 ในระหว่างนี้คณะรัฐมนตรีชุดเดิม จะยังคงดำรงตำแหน่งคณะรัฐมนตรีรักษาการ จนกว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งสมาชิกภายใน 45 วัน ไม่เกิน 60 วัน ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นวันที่ 8 ก.พ.2569
ความกังวลจึงเกิดขึ้นว่าในช่วงสุญญากาศทางการเมืองนี้ มาตรการสำคัญที่ ครม.อนุทินได้เคยประกาศไว้จะได้ไปต่อ หรือหยุดอยู่แค่นี้ โดยเฉพาะโ๕รงการเรือธง “คนละครึ่งพลัสเฟส 2 ” ที่หลายคนรอคอย รวมถึง โครงการบัญชีการออม และการลงทุนส่วนบุคคล หรือ TISA การเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่(บัตรคนจน) รอบใหม่ เป็นต้น จะได้ไปต่อหรือไม่
อย่างไรก็ตาม สถานะทางกฎหมาย ครม.ชุดปัจจุบัน จะยังเป็นรัฐบาลรักษาการ ซึ่งมีหน้าที่หลักคือ ประคับประคองการบริหารราชการแผ่นดินให้ดำเนินไปตามปกติ และจัดการเลือกตั้งให้เรียบร้อย โดยมีอำนาจจำกัดกว่ารัฐบาลปกติ
โดย รัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 169 วางกรอบ และข้อห้ามการทำงานรัฐบาลรักษาการไว้ 5 ข้อสำคัญ เพื่อป้องกันการได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง และการสร้างภาระให้รัฐบาลหน้า ได้แก่
1.ห้ามอนุมัติโครงการที่ผูกพันคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
2.ห้ามเซ็นสัญญาโครงการใหญ่ๆ หรือก่อหนี้ระยะยาว
3.ห้ามแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงปลัดฯ, อธิบดี หรือให้ใครพ้นจากตำแหน่ง เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
4.ห้ามใช้งบกลางสำรองจ่ายฉุกเฉิน เว้นแต่จำเป็นเร่งด่วน และต้องขออนุมัติ กกต. ก่อน
5.ห้ามใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อหาเสียง โดยห้ามใช้กลไกราชการมาช่วยในการเลือกตั้ง
รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ บอกว่า ต้องรอฟังการชี้แจงจาก นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)อีกครั้ง
โดยในระหว่างนี้โครงการที่กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างผลักดันคาดว่าจะต้องชะลอไปก่อน โดยเฉพาะโครงการที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยจะต้องรอติดตามว่ารัฐบาลรักษาการว่าจะเดินหน้านโยบายต่อไปอย่างไร
ด้านรักษาการรองนายกรัฐมนตรี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ กล่าวว่ารัฐบาลนี้ยังมี ครม.ที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมี ครม.ชุดใหม่เข้ารับหน้าที่ หลังการเลือกตั้งทั่วไป โดยมีอำนาจเหมือนเดิมทุกอย่าง ทั้งเรื่องความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่มีสิ่งต้องห้ามทำ 2 ข้อคือ ห้ามทำโครงการใหม่ที่ผูกพัน ครม.ชุดใหม่ และห้ามนำทรัพยากรของรัฐ ทั้งบุคคลและยานพาหนะไปใช้เพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้ง
ส่วนโครงการที่เตรียมไว้ก่อนที่จะยุบสภา อาทิ โครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 หากจะต้องทำ มี 2 เรื่องที่ต้องขอ กกต.คือ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและการใช้งบประมาณ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น นอกนั้นมีอำนาจเหมือนเดิมทุกประการ รวมถึงเรื่องความมั่นคง และวันนี้ยังสามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ เช่นเดียวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังมีเหมือนเดิม และการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยก็ยังเหมือนเดิม แต่ถ้าต้องใช้งบกลางเพิ่มจะต้องขอ กกต.ตามรัฐธรรมนูญ ย้ำว่าคำว่ารักษาการเป็นคำทางวิชาการ ไม่ต้องกังวลอะไร โดยรัฐบาลจะนัดประชุมกับกกต.ในวันจันทร์ที่ 15 ธ.ค.นี้ เพื่อหารือถึงเรื่องเลือกตั้ง
ขณะที่ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กลับบอกว่าโครงการคนละครึ่งเฟส 2 จะต้องหยุดไว้ก่อนเนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องของตัวกฎหมายเลือกตั้งที่ไม่สามารถกระทำได้ แต่ก่อนหน้านี้ได้พยายามดำเนินการและประชาสัมพันธ์ไปแล้ว ว่าจะนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันนี้ ( ข้อมูล ณ วันที่ 12 ธ.ค. 68)
ด้าน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ กล่าวถึงกรณีการยุบสภา ว่าหอการค้าไทยเข้าใจถึงความจำเป็นทางการเมืองในการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีในการยุบสภาในครั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศที่มีความผันผวนสูงรวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดน และปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลก ซึ่งล้วนส่งผลต่อเสถียรภาพ และการบริหารประเทศ จึงเห็นว่าเป็นการตัดสินใจที่อยู่บนพื้นฐานของกรอบประชาธิปไตย และกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ซึ่งหอการค้าไทยขอเรียกร้องให้มีการเร่งดำเนินการจัดการเลือกตั้งตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้ประเทศมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มีอำนาจเต็มโดยเร็วเนื่องจากในปัจจุบันยังมีกฎหมายสำคัญ และกรอบการเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่รอการพิจารณา และผ่านสภา และต้องมีขับเคลื่อนอีกหลายประเด็น อาทิ การเจรจาด้านภาษีกับสหรัฐอเมริกา การเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้า เช่น FTA Thai-EU ซึ่งล้วนมีความสำคัญต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ฝั่งนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ไทย รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ได้เปิดเผยบทวิเคราะห์การยุบสภาล่าสุดนี้ด้วยว่า จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในทิศทางที่แย่ลงต่อปัญหาเศรษฐกิจที่มีอยู่เดิม และยังแก้ไม่ได้ เศรษฐกิจไทยจะเริ่มนับหนี่งกันใหม่ หลังจากมีรัฐบาลใหม่ คาดว่าน่าจะอยู่ในเดือน พฤษภาคม หรือ มิถุนายน 2568 ซึ่งไม่แน่ใจว่าหน้าตาของรัฐบาลใหม่จะเป็นพรรคใด และนโยบายเศรษฐกิจจะไปในทิศทางไหน
แต่คาดว่าสิ่งที่จะส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทยคือปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ ,การรบกับเขมร ,สแกมเมอร์ ,ดีลการค้าไทยสหรัฐฯ ,ภัยพิบัติ ,การเจรจา FTA และภาพลักษณ์ไทยต่อการเมืองไม่มีเสถียรภาพต่อสายตานานาชาติ
โดย ดร.อัทธ์มองว่า การเมืองไทยไม่มีเสถียรภาพส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทุกด้าน เสี่ยงทั้งเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4/2568 และ ครึ่งปีแรก 2569 ซึ่งขึ้นกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ว่า สามารถจัดตั้งได้เร็วแค่ไหน ซึ่งประเมินว่าเศรษฐกิจในครึ่งปีแรก 2569 จะลดลงไตรมาสละ 1.8% ทั้งปีโตประมาณ 1.3% อีกทั้งภายใต้สถานการณ์การรบไทยกับกัมพูชา สหรัฐฯ อาจจะกดดันไทยให้กลับเข้ามาสู่การเจรจาสันติภาพ โดยอาจจะเก็บภาษีตอบโต้จากไทยที่ 19% เป็น 36% อาจจะถูกเก็บภาษีสวมสิทธิสินค้า 40% และอาจจะไม่ได้รับสิทธิภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ 0% ส่งผลต่อการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ขยายตัวเพียง 4.8% ส่วนการลงทุนเอกชนมีอัตราการขยายตัวลดลงจาก 2% เหลือ 1.5%
ในขณะที่ ทุนต่างชาติ (FDI) แม้มูลค่าจะเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบต่อ GDP แล้ว ลดลงจาก 4.4% เหลือ 2.5% (ระหว่างปี 2548 ถึง 2547) คาดว่าปี 2569 สัดส่วนการลงทุนต่างชาติ อยู่ที่ 3.1% มูลค่า 6 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นปัญหาเดิม นั่นก็คือหนี้ครัวเรือน หนี้เรื้อรังที่ยังทรงตัวสูง การบริโภคก็ชะลอตัว ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ที่ -0.1-0.3% มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิด ภาวะเงินฝืดแบบอ่อนด้วย ดังนั้น ดร.อัทธ์จึงมองว่า การยุบสภา ถือเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยขณะนี้
” แน่นอนว่าประชาชนต่างก็หวังให้ปี 2569 หลังการเลือกตั้ง เราจะมีรัฐบาลใหม่โดยเร็ว ในเมื่อการยุบสภาได้เกิดขึ้นแล้ว เพื่อจะได้รีบเข้ามาแก้ไขปัญหาที่ยังค้างเติ่งกันมาแล้วหลายยุคหลายสมัย อาจจะเป็นรัฐบาลแบบวิ่งผลัด จากเกมการเมืองเดิมๆ แต่ก็ยังคาดหวังว่าจะมีสักรัฐบาลที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้จริงๆสักที “