เชื่อหลายๆคนจะเห็นว่าราคาข้าวของหลายอย่างแพงขึ้นกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอาหารสดเนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ และสัตว์น้ำ ราคาแก๊ส ราคาน้ำมัน ค่าโดยสารสาธารณะ ต่างๆ แต่ในขณะเดียวกันที่ราคาของขึ้นราคา แต่ก็ทำให้หลายคนไม่กล้าควักเงินจ่าย หรือตัดสินใจซื้อของ ใช้เงิน เห็นได้ชัดก็คงจะเป็นรถ หรือสินทรัพย์ชิ้นใหญ่ๆ มูลค่าสูง หรืออีกปัจจัยก็มาจาก ธนาคารไม่ปล่อยกู้ เพราะกลัวผ่อนไม่ไหว ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้น หลายคนยังถูกขึ้นบัญชีดำ จึงเป็นที่มาของคำถามว่า อันที่จริงแล้ว บ้านเรามันอยู่ในช่วงเงินเฟ้อ หรือเงินฝืด
แต่ถึงอย่างนั้น เสียงในหัวของใครหลายคนอาจจะค้านว่าไม่น่าจะใช่ “เงินเฟ้อ” เข้าช่วง “เงินฝืด” แล้วด้วยซ้ำ เพราะมันเกิดภาวะที่คนไม่อยากจะควักเงินออกมาใช้ หรือเก็บออมได้แล้ว ดังนั้น เราจึงต้องมาทำความเข้าใจคำว่า “เงินเฟ้อ” กับ “เงินฝืด” กันก่อนดีกว่า
เงินเฟ้อ คืออะไร ?
“เงินเฟ้อ” คือ ช่วงที่ภาวะของราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไป มีราคาเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นมากๆ ก็จะกระทบต่อฐานะและความเป็นอยู่ของประชานชนอย่างเรา ทำให้มีกำลังซื้อที่ลดน้อยลง และส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศ
มีผลอย่างไรต่อเงินในกระเป๋าของเราบ้าง?
ผลที่ตามมาจากเงินเฟ้อ ก็ได้แก่ ผลกระทบด้านการถือครองเงิน โดยจะส่งผลในรูปแบบทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะค่าใช้จ่ายต่างๆจะสูงขึ้นเนื่องมาจากสินค้าที่มีราคาแพงขึ้น ทำให้เราต้องมีรายจ่ายและค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่รายได้ที่เป็นตัวเงินยังคงเท่าเดิม หรือเพิ่มขึ้นน้อยกว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
ยกตัวอย่าง หากเราลองมองย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน เราซื้อข้าวแกงจานละ 15 บาท ปัจจุบันข้าวแกง 1 จานราคาประมาณ 35-45 บาท จะเห็นว่าราคาข้าวแกงที่เรากินกันมีราคาเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า ถึงแม้ว่ากรอบตัวเลขเงินเฟ้อประเทศไทยจะอยู่ที่ประมาณ 1-3% แต่ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นกว่านั้นขึ้นไปอีก นั่นแปลว่าเราก็ต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อซื้อซื้อข้าวแกง 1 จาน หรือเราต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อซื้อของใช้ที่ปริมาณเท่าเดิม และหากมูลค่าเงินต่ำลงมากๆ เงินที่หามาได้ก็อาจไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการยังชีพ
ผลกระทบด้านเงินออมและการลงทุน ยิ่งอัตราเงินเฟ้อสูงก็จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยหรืออัตราผลตอบแทนที่แท้จริงที่จะได้รับ มีมูลค่าลดลงไป ยกตัวอย่างเช่น ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารร้อยละ 1.25% หากอัตราเงินเฟ้อ 1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะอยู่ที่ 0.25% และหากอัตราดอกเบี้ยเท่าเดิม แต่เงินเฟ้ออยู่ที่ 2% เท่ากับว่าอัตราดอกเบี้ยแท้จริงจากการเงินฝากธนาคารนั้นจะมีมูค่าติดลบ (-0.75%) ผู้ถือสินทรัพย์ที่เป็นตัวเงินแน่นอน อย่างเงินสด เงินฝากประจำ พันธบัตร จะเสียเปรียบเพราะมูลค่าลดลง ส่งผลให้เกิดการตัดสินใจเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่มากกว่าแทนการฝากเงินกับธนาคาร
เงินฝืด คืออะไร?
” เงินฝืด” คือ สภาวะการลดลงของ “ความต้องการด้านสินค้าและบริการ” เนื่องจากเกิดความกังวลทำให้คนไม่กล้าออกมาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งมีผลกระทบทั้งด้านบวกและลบต่อบุคคลทั่วไป โดยในระยะสั้น ภาวะเงินฝืดจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค เนื่องจากสินค้าและบริการจะมีราคาลดลง ช่วยเพิ่มกําลังการซื้อและการใช้บริการได้มากขึ้น ด้วยเงินจํานวนเท่ากัน แต่ในระยะยาว ภาวะเงินฝืดอาจทําให้เกิดการผลิตที่ลดลง เนื่องจากบริษัทต่างๆ ขายสินค้าหรือบริการได้น้อยลง ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการด้านแรงงานลดลงไปด้วย เนื่องจากการลดกำลังการผลิต และรายได้ของผู้บริโภคลดลง นอกจากนี้ ภาวะเงินฝืดอาจทําให้การลงทุนโดยทั่วไปลดลงได้ เนื่องจากนักลงทุนลังเลที่จะนำเงินมาลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจประสบกับภาวะเงินฝืด
สาเหตุหลักของเงินฝืดมาจากความต้องการซื้อสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจลดลง ทำให้ผู้ขายต้องลดราคาลงเพื่อจูงใจให้คนซื้อมากขึ้น โดยความต้องการที่ลดลงอาจเกิดจากคนไม่มีเงินใช้จ่าย หรือไม่มั่นใจในสถานการณ์เศรษฐกิจ จึงชะลอการใช้จ่ายออกไป ถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่ดีสำหรับระบบเศรษฐกิจ เพราะจะทำให้ธุรกิจขายสินค้าได้น้อยลง จนอาจต้องปิดกิจการ ทำให้คนงานตกงาน และส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมถดถอยหากเกิดเงินฝืดรุนแรงและยืดเยื้อ
ตัวอย่างของภาวะเงินฝืดที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่หลายคนอาจจะพอนึกออก คือช่วงวิกฤตการเงินในไทยปี 2540 หรือเรียกกันอย่างติดปากว่า “ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยและอีกหลายประเทศในเอเชียประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง ประชาชนทั่วไปมีความกังวล ไม่กล้าออกมาจับจ่ายใช้สอย หลายบริษัทต้องลดการผลิต ส่งผลให้มีการว่างงานเพิ่มขึ้น ภาครัฐต้องดําเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจหลายรูปแบบ รวมถึงการปรับนโยบายการคลังต่างๆ เช่น เพิ่มการใช้จ่ายของภาครัฐ ตลอดจนการปรับโครงสร้างทางการเงิน ซึ่งมาตรการเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยควบคุมภาวะเงินฝืดและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจนั่นเอง
ข้อมูลจาก : ธนาคารกสิกรไทย
เงินเฟ้อไทยติดลบต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 6 ติดกัน สะท้อนอะไรได้บ้าง?
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานข้อมูลว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือนก.ย. 2568 ยังติดลบเป็นเดือนที่ 6 ต่อเนื่องที่ -0.72% เนื่องจากยังถูกกดดันจากปัจจัยทางฝั่งอุปทานเป็นสำคัญ โดยอัตราค่าไฟฟ้าปรับลดลงมาอยู่ที่ 3.94 บาทต่อหน่วย (-5.7%YoY) และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศต่ำกว่าปีก่อนหน้า อาทิ ราคาน้ำมันดีเซล (-3.0%YoY) ราคาแก๊สโซฮอล์ 95 E10 (-7.8%YoY) ส่งผลให้ราคาพลังงานมีส่วนทำให้เงินเฟ้อลดลง (contribution to inflation) -1.15%YoY ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรลดลงจากปัจจัยฐานที่สูงในปีก่อนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักผลไม้ที่ปรับลดลงถึง -10.8%YoY (contribution to inflation: -0.61%YoY)
ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองแนวโน้มปัจจัยราคาพลังงานในประเทศจะปรับลดลง ตามทิศทางราคาพลังงานในตลาดโลก ราคาสินค้าเกษตรคาดว่าจะต่ำกว่าปีก่อนหน้า กำลังซื้อของผู้บริโภคอ่อนแรงลง ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ปรับลดประมาณการอัตราเงินเฟ้อมาอยู่ที่ -0.1% จาก 0.1% ในปี 2568 โดยในช่วง 9 เดือนแรกเงินเฟ้อติดลบอยู่ที่ -0.01%YoY ขณะที่ในไตรมาส 4 คาดว่าจะติดลบเล็กน้อย จากเดิมที่คาดว่าเงินเฟ้อจะขยายตัวเป็นบวกที่ 0.2%
วิจัยกสิกรฯ มองความเสี่ยงเกิดเงินฝืดมีมากขึ้น
วิจัยฯกสิกรยังมองว่าความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดมีมากขึ้น แม้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนก.ย.68 ยังเป็นบวกที่ 0.65%YoY แต่ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า -0.05% MoM ขณะที่รายการสินค้าในตะกร้าเงินเฟ้อพื้นฐานที่ติดลบในเดือนก.ย.68 ได้แก่ ของใช้ส่วนตัว เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า ของแต่งบ้าน เป็นต้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีน โดยรวมรายการสินค้าที่ราคาติดลบในเดือนก.ย. 68 คิดเป็น 40.5% ของตะกร้าเงินเฟ้อทั้งหมด
หนี้ครัวเรือนลดก็จริง แต่ยังสูง
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 อยู่ที่ 86.8% ต่อ GDP นับเป็นการปรับตัวลดลง 7 ไตรมาสติดต่อกัน และแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2563 (ซึ่งอยู่ที่ 84.6% ต่อ GDP) หรือใกล้สู่ระดับก่อนโควิด
มูลหนี้รวม (เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนรวม) อยู่ที่ 16.3 ล้านบาท โดยจำนวนนี้ เป็นสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลสูงสุด รองลงมาคือ เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสะท้อนได้ว่าคนไทยเป็นหนี้ ‘บ้าน-อุปโภคบริโภค’ มากสุด
ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังระบุด้วยว่า สินเชื่อแบงก์พาณิชย์หดตัว 15 เดือนติดต่อกัน สอดรับกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอและมีแนวโน้มขยายตัวในกรอบต่ำ ยิ่งทำให้แบงก์พิจารณาการปล่อยสินเชื่อใหม่ระมัดระวังมากขึ้น
หนังคนละม้วน แบงก์ชาติ บอกไม่พบสัญญาณ “เงินฝืด”
คุณวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ บอกว่าอัตราเงินเฟ้อ จะเห็นได้ว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่ไม่รวมพลังงานและอาหารสดที่มีสัดส่วนประมาณ 50% ในตะกร้าเงินเฟ้อ จะพบว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัว อยู่ในระดับ 0.9% ทั้งในปี 2568 และ 2569 แต่จากราคาพลังงานและอาหารสดที่ปรับลดลง ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงอยู่ในระดับต่ำ
ซึ่งภาวะเงินฝืดนั้น จะต้องเห็นตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐานติดลบลึก ๆ และราคาสินค้าและบริการปรับลดลงเป็นวงกว้าง และความต้องการซื้ออ่อนแอ แต่ปัจจุบันภาพยังไม่สะท้อน โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวอยู่ในระดับ 0.9% แต่ ธปท.จับตาดูสัญญาณเงินฝืดใกล้ชิด และพร้อมใช้นโยบายการเงินในการประคองเศรษฐกิจ โดยปัญหาอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ยังอยู่ในระดับต่ำนั้น ไม่ใช่การบ่งบอกว่าจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของไทยยังอยู่ใกล้เคียงกับขอบล่างของเป้าหมาย และเชื่อว่าแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อจะค่อย ๆ ทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะปานกลางที่ 1-3%
“ธปท.จับตาความเสี่ยงเรื่องเงินฝืดอย่างใกล้ชิด แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณที่จะเป็นเงินฝืด วันนี้เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.9% ยังมีดีมานด์มา support เราดูแลใกล้ชิด และเราพร้อมใช้มาตรการการเงินผ่อนคลายมากขึ้นถ้ามีความจำเป็นจะต้องประคองเศรษฐกิจและดูแลเงินเฟ้อ”
กนง. ยอมรับกำลังจับตา”เงินฝืด”ใกล้ชิดเป็นครั้งแรก
ผู้ว่าแบงก์ชาติ ได้ให้ข้อมูลอีกว่า ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ธปท. กำลัง จับตาดูความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดอย่างใกล้ชิด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการกล่าวถึงประเด็นเงินฝืดอย่างชัดเจนในแถลงการณ์ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ซึ่งในปัจจุบัน เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core inflation) ซึ่งตัดราคาสินค้าที่มีความผันผวนสูงอย่างพลังงานและอาหารสดออกไป ยังคงอยู่ในแดนบวกที่ประมาณ 0.9% ตัวเลขนี้แสดงว่า เศรษฐกิจยังคงมีแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ (Demand Support) อยู่เกือบ 1%
ส่วน”ภาวะเงินฝืด” ตามนิยามทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง ระดับราคาสินค้าและบริการลดลงในวงกว้าง และต้องเกิดจากอุปสงค์ที่อ่อนตัวอย่างชัดเจน ซึ่งหากจะเกิดเงินฝืดจริง เงินเฟ้อพื้นฐานจะต้องติดลบอย่างลึกๆ และการลดลงของราคาต้องเป็นในวงกว้าง
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ 1.5% ถือว่าต่ำที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก แต่แต่ ธปท. ยืนยันว่า ยังมี Policy Space เหลืออยู่ และสามารถลดอัตราดอกเบี้ยลงไปได้อีก หากมีความจำเป็นต้องใช้เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจหรือประคองเงินเฟ้อ
ในภาวะปัจจุบัน ไม่ว่าจะเกิดภาวะเงินเฟ้อ หรือภาวะเงินฝืด ล้วนเป็นกลไกลทางการตลาดและสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ เราอาจจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม บริหารจัดการหรือวางแผนการใช้จ่ายให้ดีได้ อาจจะช่วยลดผลกระทบได้ไม่มากก็น้อย….