เศรษฐกิจไทยเร่งไม่ขึ้น ติดหล่มหนี้เสีย ธุรกิจทุนเทา ฉุดรั้งกำลังขับเคลื่อนจีดีพีไทยพ้นภาวะวิกฤตได้จริง 

ปัญหาหนี้เสีย หนี้ภาคครัวเรือนในประเทศไทย เป็นเรื่องที่เราพูดกันมานมนานหลายปี ถึงการปรับแก้ที่โครงสร้าง หากต้องการจะรื้อฟื้นเศรษฐกิจที่ทิ้งดิ่งลงเหวลึกไปเมื่อช่วงโควิด-19 ให้กลับมาอยู่ระดับศักยภาพที่ควรจะโต 

แต่อีกหนึ่งปัญหาที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยไม่ให้ไปไหนไกล ยังมีเรื่อง”ทุนเทา” หรือธุรกิจนอกระบบ เงินทุนที่ไม่เสียภาษีและส่วนใหญ่มาจากธุรกิจที่ผิดกฎหมาย มีรายงานว่า กิจกรรมผิดกฎหมายกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากถึง 48.7% ของ GDP หรือกว่า 8.77 ล้านล้านบาท ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจยาเสพติด การพนัน สแกมเมอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์  ไปจนถึงการหลีกเลี่ยงภาษี ปล่อยกู้นอกระบบ และคอร์รัปชัน 

ขณะที่บัญชี “ความคลาดเคลื่อนสุทธิ” ในดุลชำระเงินกลับพุ่งขึ้นจาก 1.8 แสนล้านบาทในปี 2566 เป็น 5.3 แสนล้านบาทในปี 2567 สะท้อนเงินทุนสีเทาไหลเข้าประเทศมหาศาล ผ่านช่องทางคริปโทเคอร์เรนซี ทองคำ อสังหาฯ และหุ้น 

โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุถึงกรณีที่มีเงินไหลเข้าประเทศที่ไม่รู้ที่ไปที่มา หรือความคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงิน (Net Errors and Omissions: NEO) ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาว่า Net Errors and Omissions อาจเป็นเงินสีเทา หรือมาจากการฟอกเงินได้ เหตุเพราะเป็นส่วนที่ ธปท. หาไม่เจอ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ธปท. ได้ทำงานร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อย่างใกล้ชิด เพื่อพิสูจน์หาที่มาที่ไป 

คุณชญาวดี ชัยอนันต์ โฆษก ธปท. ยืนยันว่า ค่าเฉลี่ย Net Errors and Omissions ของไทย ‘ต่ำกว่า’ ค่าเฉลี่ยกลุ่มประเทศเอเชียรายได้ปานกลาง ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.4-1.5% ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ ในช่วง 10 ปีย้อนหลัง (ระหว่างปี 2014-2023) และยังย้ำด้วยว่า ประเทศอื่นๆ ก็มี NEO สูงและเผชิญปัญหาเดียวกับไทย 

ล่าสุด นายกรัฐมนตรี คุณอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ประกาศให้การปราบสแกมเมอร์และทุนเทาเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมรวมพลัง 15 หน่วยงานลงนาม MOU เพื่อปิดเส้นทางเงินเถื่อน เป้าหมายคือยึดทรัพย์ ปิดช่องทางการฟอกเงิน สร้างระบบข่าวกรองร่วม และใช้ AI ตรวจจับเส้นเงินมิจฉาชีพ ควบคู่กับการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ อีกด้วย
 

แต่ถึงอย่างนั้น ในคณะรัฐมนตรีของคุณอนุทิน ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กลับเป็นที่จับตา จากการตั้งข้อสงสัยว่ากระบวนการทางการเมืองอาจใช้ “ทุนเทา” เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม 

คุณวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ได้ประกาศยกระดับกระบวนการติดตาม และตรวจสอบธุรกรรมที่ไม่พึงประสงค์ให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องกันและเร่งแก้ไขปัญหาทุนเทา รวมทั้งสกัดกั้นการใช้ระบบการเงินในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ได้แก่การยกระดับการติดตามและการตรวจสอบ เพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (Customer Due Diligence) ซึ่งรวมถึงการให้ธนาคารพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัย ในการรับหรือโอนเงินจากบัญชีเงินฝาก อาทิ บัญชีที่ใช้ในการพนันออนไลน์ บัญชีที่ถูกใช้โดย scammer และรายงานความผิดปกติให้ ธปท. ทราบ โดย ธปท. จะพิจารณาปรับปรุง/ออกคำสั่ง และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการให้ชัดเจนขึ้น และช่วยสนับสนุนภารกิจของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในระยะต่อไป

การยกระดับการกำกับดูแล และตรวจสอบผู้ให้บริการทางการเงิน ภายใต้การกำกับของ ธปท.ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึง Authorized Money Transfer Agent, Authorized Money Changer, ผู้ให้บริการ e-Wallet และการตรวจสอบธุรกรรมทองคำ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพื่อให้สามารถติดตามและตรวจสอบเส้นทางการเงินที่อาจเกี่ยวข้องกับการทุจริตได้อย่างครอบคลุม ทันต่อรูปแบบภัยทุจริตทางการเงินที่ปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง

นอกเหนือจากธุรกิจที่แอบแฝงมาจากการฟอกเงิน ปัญหาหนี้นอกระบบ ที่อาจจะคาบเกี่ยวว่าจะมีส่วนอยู่ในระบบธุรกิจสีเทาได้ด้วย  ยังเป็นเรื่องที่รัฐพยายามจัดการอยู่ เฉพาะตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่เป็นทางการยังสัดส่วน 86.8% ต่อ GDP ในไตรมาส 2 ปี 2568 ยังไม่นับรวมหนี้นอกระบบ ที่ดอกเบี้ยสูงลิบลิ่ว ยากที่จะหลุดจากวังวนหนี้ได้  ขณะที่รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนกลับเพิ่มขึ้นเพียง 15.2% รายได้ไม่พอจ่าย การกระตุ้นให้คนออกมาใช้จ่าย จึงยิ่งเป็นเรื่องยาก แม้จะมีโครงการคนละครึ่ง เที่ยวดีมีคืน หรืออีกหลายโครงการในหลายรัฐบาลแล้วก็ตาม 

คุณผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) และประธานสมาคมธนาคารไทย  บอกว่า วันนี้จะเห็นโครงสร้างล่าสุดของสภาพหนี้ของประเทศว่า พึ่งพาหนี้นอกระบบสูง โดยสัดส่วนของการที่มีหนี้มากขึ้นจากในปี 67 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 82.8% ซึ่งสัดส่วนหนี้ในระบบลดลง เพราะจีดีพีสูงขึ้น แต่ตัวปริมาณหนี้ยังคงอยู่ แต่หนี้นอกระบบสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับที่สูงถึง 114%  แต่ถ้าดู net ประมาณ 101% โดยที่มีสัดส่วน 14% เป็นหนี้นอกระบบ หนี้ทั้งหมดในประเทศไทยมีผู้ให้บริการปล่อยกู้ถึง 9,723 ราย เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของมีผู้แข่งขันที่พอเพียง

ดังนั้นจึงเกิดคำถามว่า ทำไมคนยังต้องไปพึ่งพาหนี้นอกระบบอยู่ ซึ่งจะเห็นว่าผู้ประกอบการที่ไม่ใช่อยู่ในกลุ่มแบงก์ หรือธนาคารเฉพาะกิจมีมากกว่า 30% และ ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้มีข้อมูลอยู่ในระบบฐานข้อมูลเครดิตบูโร (NCB) โดยสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นในระยะต่อไป คือ การรวมศูนย์ข้อมูลลูกหนี้เข้าสู่ระบบกลาง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ความรับผิดชอบ เท่าเทียมกัน

อย่างไรก็ตามล่าสุด รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ด้วยการจัดตั้ง JV AMC แก้หนี้รายย่อยที่มี NPL ต่ำกว่า 1 แสนบาท คิดเป็นลูกหนี้ 3.4 ล้านราย และ มีหนี้รวม 1.22 แสนล้านบาท

“ทั้งหมดนี้ติดกับดักหนี้ครัวเรือน เราจะทำอย่างไรให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ได้อย่างได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ปิดหนี้ได้อย่างรวดเร็ว และ ที่สำคัญที่สุด คือ จะเป็นครั้งแรกที่ยึดลูกหนี้เป็นจุดศูนย์กลาง ไม่ใช่ยึดแต่ละก้อนหนี้ แต่ละมูลหนี้ โดยที่ไม่ได้ดูองค์รวม ตลอดจนอยากให้เกิดความต่อเนื่องของมาตราการ เพื่อให้ลูกหนี้ออกจากกับดักหล่มหนี้ เรียนรู้ มีวินัย กลับมาฟื้นตัวได้เร็ว สามารถเข้าสู่หนี้ในระบบ เศรษฐกิจในระบบได้โดยเร็ว บนทักษะ และ ความสามารถ และ โอกาสในการสร้างแข่งขัน และ สร้างรายได้อย่างเหมาะสม” คุณผยง กล่าว

ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทย มีแผนที่จะจัดตั้ง JV AMC ในต้นปี 69 โดยกำลังพิจารณารูปแบบที่เหมาะสม ซึ่งธนาคารมีการศึกษาทุกแนวทาง และ อาจจะมีการจัดตั้งมากกว่า 1 แห่ง โดยรูปแบบ หรือหลักเกณฑ์แยกออกอย่างชัดเจน ซึ่งหากเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน และ มูลหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท ก็จะโอนไปยัง SAM แต่หากเป็นหนี้ที่มากกว่า 1 แสนบาท และ มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ ก็จะเข้าเงื่อนไขที่จะจัดตั้ง JV AMC ของธนาคารเอง

วิกฤตเศรษฐกิจของไทยนั้นมีมานาน อุปสรรคที่ได้กล่าวมานั้น ทั้งทุนสีเทา หนี้ครัวเรือน หนี้นอกระบบ และยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เรายังไม่สามารถหลุดพ้นและฟื้นคืนชีพจากคำว่า “วิกฤต” ได้จริง เพราะตอนนี้การเริ่มแก้ที่ต้นทางหรือโครงสร้างนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย…

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles