เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ 1 กรกฎาคม 2568 จึงทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นไปทั้งคณะ และต้องมีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่
โดยผลปรากฏแล้วว่าผลโหวตลงคะแนนเลือกตั้งนายกฯ คนใหม่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ด้วยคะแนน 311 ต่อ 152 เสียง งดออกเสียง 27 เสียง นั่นหมายความว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับเลือกเป็นว่าที่นายกคนใหม่คนที่ 32 ของประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในจำนวน 311 เสียงนี้ ประกอบไปด้วยเสียงข้างมากจากพรรคประชาชน ที่ทำตามคำประกาศไว้ไม่แตกแถว 143 เสียง, ภูมิใจไทย 68 เสียง, รวมไทยสร้างชาติ 33 เสียง, กล้าธรรม 25 เสียง, พลังประชารัฐ 18 เสียง, เพื่อไทย 9 เสียง, ไทยสร้างไทย 6 เสียง, ประชาธิปัตย์ 4 เสียง ตามด้วยชาติพัฒนา ไทยก้าวหน้า ประชาธิปไตยใหม่ เป็นธรรม และเสรีรวมไทย อีกพรรคละ 1 เสียง
<โจทย์ยากที่ว่าที่นายกฯ คนที่ 32 ต้องเผชิญ>
แม้ว่าในเงื่อนไขข้อตกลงระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนได้ตกลง หลักๆ คือการยุบสภา จัดการเลือกตังภายใน 4 เดือน โจทย์ที่ยากที่สุดคงหนีไม่พ้นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ที่ประชาขนคาดหวังมากที่สุด
ในเส้นทางแรกที่รัฐบาลใหม่โดยการนำของนายอนุทิน อยู่ในเงื่อนไข 5 ประการที่พรรคประชาชนวางไว้ คือ
1. นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป
2. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป
3. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทยจะเร่งผลักดันร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จในวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้โดยเร็ว
4. เพื่อสร้างหลักประกันว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือนจริง พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใดๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก
5. พรรคประชาชนยืนยันเป็นฝ่ายค้านต่อไป โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดใหม่อย่างเต็มที่ และจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคประชาชนไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
<ไทม์ไลน์ของรัฐบาล “อนุทิน”>
จากผลโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีผลออกมาแล้ว อินโนเวสเอกซ์ คาดการณ์ไทม์ไลน์ ไว้ว่ารัฐบาลใหม่ โดยการนำของนายอนุทิน จะอยู่ในช่วงเดียวกับช่วงที่เข้าสู่ปีงบประมาณใหม่ ตุลาคม 2568 คณะรัฐมนตรีใหม่จะเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณและแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยมีประเด็นสำคัญอย่างการเจรจาการค้ากับรัฐบาลสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ และการเร่งรัดข้อตกลงการค้าเสรีไทย–สหภาพยุโรป รวมถึงพระราชกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลตลาดทุน ระหว่างพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2568 ครม. จะผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงสร้างพื้นฐานวงเงินกว่า 1.1 แสนล้านบาท เพื่อรองรับแรงกดดันจากภาษีนำเข้า ขณะที่เดือนมกราคม 2569 รัฐบาลต้องเร่งเดินหน้านโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชน และเข้าสู่การพิจารณาร่างงบประมาณปี 2570
กุมภาพันธ์ถึงมีนาคม 2569 จะเป็นจังหวะที่รัฐบาลต้องเตรียมการยุบสภาตามเงื่อนไข ซึ่งจะทำให้กระบวนการงบประมาณหยุดชะงักชั่วคราว ก่อนที่ในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม จะมีการจัดการเลือกตั้งใหญ่ และรัฐสภาจะเข้าสู่การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง กระบวนการด้านงบประมาณคาดว่าจะล่าช้าออกไป 1–2 เดือน และเมื่อถึงเดือนมิถุนายน 2569 ร่างงบประมาณปี 2570 จึงจะผ่านคณะรัฐมนตรีและส่งต่อเข้าสู่กระบวนการกฤษฎีกาได้
ทั้งนี้ หากเส้นทางการเมืองไทยมิได้มุ่งไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยมีนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับหันไปสู่การยุบสภาและเดินหน้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปใหม่ Innovest X ประเมินว่าในเดือนกันยายน 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีซึ่งทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ยื่นคำสั่งยุบสภา ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการคืนอำนาจให้ประชาชน หลังจากนั้นเดือนตุลาคม 2568 คณะรัฐมนตรีรักษาการจะทำหน้าที่วางแผน เตรียมขั้นตอนและกลไกสำหรับการจัดการเลือกตั้ง
ต่อมาในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2568 ประเทศจะเข้าสู่บรรยากาศการเลือกตั้งทั่วไป การหาเสียงและการใช้สิทธิ์ของประชาชนจะเกิดขึ้นทั่วประเทศ ก่อนจะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ และได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่จากผลลัพธ์นั้น เมื่อเข้าสู่เดือนมกราคม 2569 จะเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลใหม่เริ่มจัดตั้งคณะรัฐมนตรี พร้อมเข้าสู่กระบวนการถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อพระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ตาม อาจมีประเด็นปัญหาทางกฎหมายและข้อถกเถียงเกิดขึ้นจากฝ่ายที่เห็นว่าการยุบสภาโดยรองนายกรัฐมนตรีผู้รักษาการไม่ชอบด้วยอำนาจ ซึ่งมีโอกาสนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาล
<เอกชนหวัง ครม. อนุทิน เดินหน้าเศรษฐกิจต่อเนื่อง>
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่าหลังจากสภาฯ โหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เชื่อว่านายอนุทินจะใช้ความรู้ประสบการณ์ในการอยู่ในแวดวงทั้งการเมือง และธุรกิจมาใช้อย่างเต็มที่ เชื่อว่าจะมองออกในการวางตัว ครม. ซึ่งมีความสำคัญอย่างมาก เพราะมีเวลาบริหารประเทศระยะสั้น จำเป็นต้องหาบุคคลที่เป็นมืออาชีพเข้ามาทำงาน
แม้ว่าเอกชนจะอยากได้ ครม. โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ เป็นบุคคลที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ แต่ก็เข้าใจบริบททางการเมือง ที่ส่วนหนึ่งต้องเลือกมาจากนักการเมือง แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็อยากให้มีทีม เช่น ที่ปรึกษา หรือ รมช. เป็นบุคคลมืออาชีพ ที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะตอนนี้เศรษฐกิจรอไม่ได้แล้ว หลังรับตำแหน่งงานเร่งด่วนที่อยากให้ทำ คือเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ฟื้นกำลังซื้อ เร่งกู้ภาพลักษณ์ท่องเที่ยว ที่ตอนนี้ในสายตาต่างชาติ โดยเฉพาะจีน มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยอย่างมาก และสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนตามที่พรคภูมิใจไทยเคยหาเสียงไว้
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่าวาระการทำงาน 4 เดือนของนายอนุทิน เป็นความชัดเจนด้านผู้นำรัฐบาล ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนและภาคธุรกิจ หลังจากที่การเมืองมีความไม่แน่นอนมาระยะหนึ่ง ซึ่ง ส.อ.ท. หวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะคัดเลือกบุคลากรที่มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถ และกล้าตัดสินใจ โดยเฉพาะในทีมเศรษฐกิจหลัก เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เพราะสิ่งนี้จะเป็นสัญญาณสำคัญที่ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นให้ทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ แม้จะเป็นรัฐบาลระยะสั้น ก็ควรรีบเร่งทำงานอย่างเต็มที่ทันที
โดยต้องยอมรับว่าระยะเวลา 4 เดือนนับว่าสั้นมาก สำหรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการปรับระบบภาษี การพัฒนาทักษะแรงงาน หรือการวางยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ซึ่งต้องใช้ความต่อเนื่องหลายปีจึงเห็นผลชัดเจน ในระยะเวลาจำกัดนี้ รัฐบาลจึงควรเน้นมาตรการเฉพาะหน้า เพื่อบรรเทาปัญหาเร่งด่วนและสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ดี
สำหรับนโยบายเร่งด่วนที่ต้องการเห็นภายใน 4 เดือน ส.อ.ท. เสนอว่ารัฐบาลใหม่ควรเร่งดำเนินการ ได้แก่ การบรรเทาค่าครองชีพและต้นทุนพลังงาน ที่ส่งผลโดยตรงต่อประชาชนและผู้ประกอบการ, ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านการเพิ่มสภาพคล่อง ลดภาษี และมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้เสีย, การเร่งรัดการเจรจาการค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะกับสหรัฐ และตลาดสำคัญ เพื่อไม่ให้การเจรจาสะดุดจากการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง การปรับปรุงระบบธุรกิจและภาษีให้ทันสมัย ลดความซ้ำซ้อน และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน
นายเกรียงไกร กล่าวเพิ่มเติมว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองยังเป็นประเด็นหลักที่กระทบต่อการตัดสินใจลงทุน ภาคธุรกิจและหน่วยงานราชการหลายแห่งอยู่ในภาวะ “wait and see” ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ทำได้เพียงประมาณ 50% ของเป้าหมาย ซึ่งกระทบต่อการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ หากรัฐบาลไม่สามารถดำเนินมาตรการได้อย่างชัดเจน การเจรจาการค้าระหว่างประเทศอาจหยุดชะงัก และการลงทุนใหม่ๆ อาจล่าช้าออกไป ซึ่งจะเป็นความท้าทายสำคัญของรัฐบาลเฉพาะกิจในช่วงเวลาเพียง 4 เดือนนี้ อย่างไรก็ตามแม้รัฐบาลจะมีเวลาจำกัด แต่ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะสร้างแรงกระตุ้นต่อเศรษฐกิจ และสร้างบรรยากาศเชิงบวกให้รัฐบาลถาวรในอนาคตมาสานต่อ ภาคเอกชนพร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับรัฐบาลอย่างเต็มที่ เพื่อให้มาตรการเหล่านี้เกิดผลจริง
<หวังได้มืออาชีพร่วมทีมเริ่มบริหารงานทันตุลาคมนี้ >
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะต้องรอการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป มั่นใจว่าจะใช้เวลาในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีไม่ช้า ซึ่งจะต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติของบุคคลที่จะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรี คาดว่ารัฐบาลใหม่จะสามารถแถลงนโยบายรัฐบาลต่อสภาได้ภายในเดือนกันยายนนี้ และเริ่มบริหารงานอย่างเป็นทางการได้ภายในกลางเดือนตุลาคมนี้
ส่วนหน้าตาของคณะรัฐมนตรีโดยเฉพาะคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ซึ่งมีกระแสข่าวว่าจะมีการนำคนนอกที่เป็นมืออาชีพเข้ามาบริหารงาน ทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นงานที่มีความเฉพาะนั้นถือว่าเป็นเรื่องดี ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับเศรษฐกิจไทยได้มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงความเชื่อมั่นด้านการค้าและการลงทุนได้
<ปัญหาความมั่นคงยังรอแก้>
รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กในลักษณะบทความในหัวข้อ “3 เส้นทางเศรษฐกิจที่นายกฯ อนุทินต้องเลือก” ระบุว่า 4 เดือนนี้นายกฯ อนุทินจดจ่อไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างก็พอ
ศึกชายแดนไทย–กัมพูชา วันนี้ไม่ใช่ภาระที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องแบกรับเต็มสองบ่าอีกแล้ว เพราะกองทัพไทยและประชาชนได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่านักการเมืองที่เอาแต่เล่นเกมอำนาจเสียอีก เพราะกองทัพไทยเดินหมากเด็ดขาด
แม่ทัพภาค 1 อนุมัติสร้างรั้วกั้นเขตถาวรที่สระแก้ว จากเดิม 10 กม. ขยายเป็น 16 กม. แบบ “ปิดตายถาวร”
แม่ทัพภาค 2 ล้อมรั้วลวดหนามตลอดแนวรอยต่อกับกัมพูชา สั่งปิดล้อมปราสาททุกแห่งที่เขมรบุกรุก และผลักดันชุมชนผิดกฎหมายออกจากแผ่นดินไทย
ช่องอานม้า มีการรื้อถอนบ้านเรือนเขมรกว่า 100 หลังคาเรือนที่บุกรุกเข้ามา และผลักดันออกนอกเขต
นี่คือการแสดงให้เห็นว่า อธิปไตยไทยไม่ใช่ของเล่นการเมือง แต่คือสมบัติที่ต้องปกป้องด้วยกำลังและสติปัญญา ดังนั้นนายกฯ อนุทินต้องหันมาจดจ่อที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างแทน เพราะกองทัพไทยทำหน้าที่ชายแดนได้อย่างมั่นคง
ขณะที่ด้านเศรษฐกิจ มีข้อความบางส่วน รศ.ดร.สุวินัย ระบุว่าหน้าที่หลักของนายกรัฐมนตรีอนุทินคือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ที่ฝังรากลึกมานาน
การคลัง ฟื้นวินัยการคลัง เลิกประชานิยม ปฏิรูปภาษีด้วย AI
การพาณิชย์ สร้างแพลตฟอร์ม “ตลาดคนไทย” ปกป้อง SME จากทุนผูกขาด
การลงทุน ฟื้นความเชื่อมั่นต่างชาติ ดึง FDI ที่สร้างงานและเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่เงิน