เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลเคาะจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟสที่ 3 หนึ่งหมื่นบาทให้กับกลุ่มวัยเรียน 16–20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน โดยในรอบนี้จะเป็นเฟสแรกที่จะให้ใช้จ่ายในระบบดิจิทัลวอลเล็ตตามที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ และหวังจะก่อให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ลดภาระค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน โดยคาดว่าจะจ่ายได้ประมาณปลายไตรมาส 2 ต้นไตรมาส 3 ของปี 2568 นี้
แต่ภายหลังจากรัฐบาล โดยคุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศการแจกเงินหมื่นในรูปแบบดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 กลับมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะช่วงอายุที่รัฐบาลกำหนดในรอบนี้
เพราะจากการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน คุณเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่าเงินดิจิทัลสามารถจ่ายค่าเทอม ค่าโทรศัพท์มือถือ และค่าบริการสาธารณูปโภค ทั้งค่าน้ำประปา และค่าไฟฟ้า แต่หลังจากนั้นมีการขอปรับข้อมูลการใช้จ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ตเป็นไม่สามารถจ่ายได้ เพราะเป็นบริการ
“ในส่วนของค่าเทอม ค่าโทรศัพท์มือถือ และค่าบริการต่างๆ ถือว่าเป็นค่าบริการ ค่าเทอมก็ถือว่าไปเป็นการซื้อบริการ เพราะฉะนั้นจะไม่รวมอยู่ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ยืนยันว่าไม่ได้ คิดง่ายๆ เราให้ซื้อสินค้า เงินต้องเอาไปแลกสินค้าและบริการ อุปโภคหรือบริโภค แต่บริการนั้นไม่ได้”
ส่วนกรณีที่สังคมตั้งคำถามว่าทำไมดิจิทัลวอลเล็ตไม่สามารถนำไปจ่ายค่าเทอมได้ แต่กลับสามารถซื้อเหล้า – บุหรี่ได้นั้น คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อธิบายว่าความตั้งใจของรัฐบาลในเรื่องนี้ไม่ได้ต้องการเจาะจงให้นำเงินไปซื้อเหล้า – บุหรี่ได้โดยตรง เช่น ซื้อเหล้า จากร้านที่ขายเหล้าโดยตรง ซึ่งหากมีการกำหนดประเภทสินค้าต้องห้าม (Negative List) ก็อาจจะไม่สะดวกสำหรับประชาชนในการใช้จ่าย ดังนั้นรัฐบาลจึงได้กำหนดเป็นประเภทร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการแทน
“บางร้านค้าขายสินค้าอุปโภคบริโภค 90% แต่อาจจะมีมุมเล็กๆ ที่ขายเหล้า – บุหรี่ด้วย ดังนั้นถ้าหากเราไปห้าม ไม่ให้เข้าร้านประเภทนี้เลยก็อาจจะเหนื่อย จึงมากำหนดเป็นขนาดร้านค้าแทน ซึ่งร้านที่ขายสินค้าเหล่านี้โดยเฉพาะ เราก็ไม่ให้เข้า แต่สุดท้ายหากบังเอิญว่าร้านนั้น เช่น ร้านขายของชำ มีมุมขายบุหรี่เล็กๆ อยู่ในร้าน แต่ไม่ได้ขายบุหรี่เป็นเรื่องเป็นราว แบบนี้ก็โอเค”
ส่วนกรณีที่ไม่สามารถนำเงินดิจิทัลไปจ่ายค่าเทอมได้โดยตรงนั้น รัฐมนตรีคลัง ระบุว่าการให้เงินดิจิทัลในเฟสนี้ก็เหมือนกับรัฐบาลให้เงินผู้ปกครองไปจ่ายค่าเทอมได้ในทางอ้อม เพราะหากผู้ปกครองบริหารการใช้เงินดิจิทัลได้ โดยนำไปใช้จ่ายในสินค้าอุปโภคบริโภคก็จะเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ และสุดท้ายก็จะทำให้มีเงินไปจ่ายค่าเทอมได้มากขึ้นนั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นเงินก้อนเดียวกัน
<ห่วงเยาวชนนำเงินไปใช้ในทางที่ผิด>
คุณปริเยศ อังกูรกิตต โฆษกพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) กล่าวถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 นี้ว่าขอตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจ อยากเตือนให้รัฐบาลพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนเดินหน้าเฟส 3 แม้การแจกเงินสด 10,000 บาทที่ผ่านมา ประชาชนจะพึงพอใจ แต่ด้านเศรษฐกิจกลับไม่ได้ส่งผลกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยอย่างมีนัยสำคัญ เศรษฐกิจไทยในปี 2567 เติบโตเพียง 2.5% ขณะที่ใช้งบประมาณไปคิดเป็น 0.8% ของ GDP กระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียง 0.3% ถือเป็นอัตราที่ต่ำกว่าความคุ้มค่าของเงินภาษีที่ใช้ไป
และยังได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่าการแจกเงินรอบใหม่ที่จำกัดเฉพาะกลุ่มอายุ 16–20 ปี สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลอาจเผชิญปัญหาด้านงบประมาณ หรือมีการปรับลดวงเงินโครงการ อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนในนโยบายภาครัฐจะเห็นได้จากการกำหนดเงื่อนไข ในช่วงวันแรกๆ ที่ประกาศเฟส 3 เช่น การจ่ายค่าเทอมของนักเรียนและนักศึกษา ที่รัฐบาลเคยประกาศว่าสามารถนำไปใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทำให้ประชาชนสับสนและตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของการบริหารจัดการงบประมาณของรัฐบาล ในขณะเดียวกันรัฐบาลกลับไม่สามารถควบคุมเรื่องการใช้เงินไปซื้อเหล้าและบุหรี่ของเยาวชนอายุ 16–20 ปี ที่ได้รับเงินจากโครงการแจกเงินดิจิทัล ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสังคมตามมา
<นักวิชาการมองยังมีช่องโหว่เงื่อนไขการใช้เงิน>
อาจารย์อุ๋ย ประพฤติ ฉัตรประภาชัย นักวิชาการด้านกฎหมาย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ข้อความบางส่วนระบุว่า “ผมเห็นข่าวที่รัฐบาลจะแจกเงินหมื่นดิจิทัลเฟสสาม โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กและเยาวชนอายุ 16–20 ปี ซึ่งเงื่อนไขการใช้เงินมีช่องโหว่ที่ผู้ใช้เงินสามารถนำเงินไปซื้อเหล้าหรือบุหรี่ในร้านชำเล็กๆ ได้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าแม้กฎหมายจะห้ามไม่ให้ขายเหล้าและบุหรี่กับบุคคลที่อายุต่ำกว่า 20 ปี แต่ก็บังคับใช้เฉพาะกับร้านเจ้าใหญ่ๆ เท่านั้น ส่วนร้านชำเล็กๆ ที่กระจายตัวอยู่ตามชุมชน ก็เป็นที่รู้กันดีว่าในทางปฏิบัติรัฐตรวจสอบได้ยากและกฎหมายก็มักบังคับไปไม่ถึง ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่ผู้ที่ได้สิทธิตรงนี้จะนำเงินไปซื้อสิ่งเหล่านี้มาเสพซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรกับตัวเด็กและเยาวชน มีแต่โทษ
อาจารย์อุ๋ย ยังยกอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on Rights of the Child) ซึ่งไทยเป็นภาคี มีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 ข้อ 1 กำหนดว่า เด็ก หมายถึงมนุษย์ทุกคนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี และ ข้อ 3.1 ระบุว่าในการกระทำทั้งปวงที่เกี่ยวกับเด็ก ไม่ว่าจะกระทำโดยสถาบันสังคมสงเคราะห์ของรัฐหรือเอกชน ศาลยุติธรรม หน่วยงานฝ่ายบริหาร หรือองค์กรนิติบัญญัติ ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นลำดับแรก ส่วนข้อ 6.กำหนดว่า 1) รัฐภาคียอมรับว่าเด็กทุกคนมีสิทธิติดตัวที่จะมีชีวิต และ 2) รัฐภาคีจะประกันอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ให้มีการอยู่รอดและการพัฒนาของเด็ก จึงอยากตั้งคำถามไปยังรัฐบาลว่า การที่รัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหารแจกเงินเด็กๆ และเปิดช่องให้เอาเงินตรงนี้ไปซื้อเหล้ากับบุหรี่ได้ ถือว่าได้คำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นลำดับแรกหรือไม่…”
<จับตาเอื้อกลุ่มทุน>
คุณปริเยศ อังกูรกิตต โฆษกพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ยังได้ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายแจกเงินดิจิทัลเฟส 3 อีกว่า ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวของผู้มีอำนาจและกลุ่มทุนในการเตรียมออกเหรียญดิจิทัลที่อาจเชื่อมโยงกับนโยบายแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาล จึงมีข้อสงสัยว่าโครงการนี้อาจส่อว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนหรือพวกพ้องมากกว่าการช่วยเหลือประชาชนและการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
<เม็ดเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 กระตุ้นเศรษฐกิจได้ได้ไม่มากนัก>
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่ามาตรการแจกเงินหมื่นเฟส 3 นี้ รัฐเตรียมใช้เงินประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งมองว่าเป็นวงเงินที่น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับความจำเป็นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยอาจกระตุ้นจีดีพีให้ขยายตัวได้เพียง 0.1–0.15% เท่านั้น
จะเห็นได้จากมาตรการเฟสแรกรัฐบาลได้อัดฉีดเงิน 1.45 แสนล้านบาทในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคมที่ผ่านมา แต่เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4 เติบโตเพียง 3.2% ต่ำกว่าคาด สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะซบเซาและฟื้นตัวได้ช้า
นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่ากลุ่มที่จะได้รับเงินส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงอายุ 16–20 ปี ซึ่งพฤติกรรมการใช้จ่ายของกลุ่มนี้มีแนวโน้มเน้นไปที่สินค้าเฉพาะกลุ่ม แตกต่างจากช่วงอายุ 16–60 ปี ที่สามารถกระจายการใช้จ่ายได้มากกว่า ดังนั้นจึงมองว่ามาตรการในเฟส 3 นี้ อาจไม่ได้ส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจมากนัก ยิ่งเป็นการทยอยแจกจ่ายเงิน มองว่ายังไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ ถ้าต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวรวดเร็วและมีการเติบโตที่ชัดเจน จำเป็นต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลในนโยบายนี้ในคราวเดียว หรือรวมเงินจากทุกเฟสเป็นก้อนเดียว
เช่นเดียวกับคุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่าหากเป็นการใช้จ่ายเงินในแต่ละพื้นที่ น่าจะทำให้มีผลต่อจีดีพี ประมาณ 0.1–0.2% แต่ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ในแง่ของผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมาพบว่าอาจจะยังไม่ทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจเท่าที่ควรจะเป็น
โดยหอการค้าฯ มองว่าการใช้งบประมาณเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจจำเป็นต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่ชัดเจน เนื่องจากงบประมาณของภาครัฐมีจำกัด และขณะนี้เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ดังนั้น การดำเนินมาตรการควรพุ่งเป้าไปยังกลุ่มที่สามารถทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้นได้มากที่สุด เพื่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้างและยั่งยืน
<ประโยชน์ด้านทดสอบประสิทธิภาพระบบ>
รศ.ดร.ธนวรรธน์ มองว่าการแจกเงิน 10,000 ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ในรอบนี้จะส่งผลดีกับระบบ Sandbox ในการทดสอบประสิทธิภาพของการใช้เงินดิจิทัลว่ามีข้อจำกัดและประโยชน์อย่างไร หากยังคงใช้มาตรการแจกเงินต่อไป รัฐบาลเองก็ควรมีการชี้แจงต่อประชาชนที่ยังไม่ได้รับเงินว่าเม็ดเงินที่เหลืออาจถูกนำไปใช้เพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวแทน ซึ่งเป็นทางเลือกที่ส่งผลดีต่อประเทศมากกว่า
<เงินหมื่นเฟส 3 แจกวัยรุ่นมีเหตุผล>
คุณจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าเหตุผลที่เฟส 3 รัฐบาลทำเฉพาะกลุ่ม 16–20 ปี เนื่องจากน้องๆ มีความรู้ความสามารถในการเข้าสู่เทคโนโลยีและระบบโซเชียลต่างๆ ซึ่งจะถือเป็นต้นแบบในการดำเนินการและอาจจะนำไปสอนพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย และคนในครอบครัวที่มีอายุมากให้เข้าใจได้
อย่างไรก็ตามรัฐบาลยืนยันว่ากลุ่มคนอายุ 21–59 ปี ยังไงรัฐบาลไม่ทิ้งแน่นอน เพราะอยู่ในแผนดำเนินการในเฟส 4 เฟส 5 ต่อไป เพื่อพัฒนารูปแบบระบบดิจิทัลวอลเล็ตให้ง่ายขึ้น อาทิ การจ่ายเงินเยียวยา ระบบการศึกษา การสนับสนุนในด้านต่างๆ
“นายกฯ ฝากบอกว่าไม่ต้องกังวลว่าคนอายุ 21–59 ปี ไม่จ่ายแล้วหรือ ขอย้ำว่าจ่ายแน่นอน เพื่อดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจตามโครงการดิจิทัลวอลเล็ต”
โดยสรุปแล้วมาตรการแจกเงินหมื่นรัฐบาลยังคงเดินหน้าต่อแน่ๆ แต่ต้องมาลุ้นกันว่าเม็ดเงินใช้จ่ายจากบรรดากลุ่มน้องๆ วัยใส จะช่วยกระพือ “พายุหมุนทางเศรษฐกิจ” ได้ตามที่รัฐบาลคาดหวังแค่ไหน