“ทองคำ” ที่ยังครองตำแหน่งสินทรัพย์ปลอดภัยที่สุด ช่วงนี้ราคาร้อนแรงแบบสุดๆ ทำสถิติสูงสุด New All Time High แทบไม่พัก เพราะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (22–26 กันยายน 2568) ทุบสถิติราคาสูงสุดไปแล้ว 4 ครั้ง
ซึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อราคาทองคำในบ้านเราก็มาจากราคาทองโลก (Gold Spot), ค่าเงินบาท, นโยบายอัตราดอกเบี้ย, ภาวะเงินเฟ้อ, ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก, ความต้องการซื้อขาย (อุปสงค์– อุปทาน), และราคาน้ำมัน ปัจจัยเหล่านี้สามารถส่งผลต่อราคาทองได้ทั้งในทิศทางเดียวกันและทิศทางตรงกันข้ามได้เช่นกัน
<ทองคำปีนี้พุ่ง 43% สูงสุดในรอบ 46 ปี>
บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัซ จำกัด ผู้ให้บริการลงทุนซื้อ–ขายทองคำผ่านระบบออนไลน์และแอปพลิเคชัน ได้เผยบทวิเคราะห์แนวโน้มทองคำไว้ว่าปีนี้ทองคำไม่เพียงขึ้นแรง แต่ยังสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ผลตอบแทนราว 43% สูงสุดในรอบ 46 ปี
ไปจนถึงแรงซื้อของธนาคารกลางทั่วโลกที่แตะระดับพันตันต่อปี และเงินที่ไหลกลับสู่กองทุน ETF ซึ่งถือครองรวมสูงสุดนับจากปี 2563 ขณะที่ปัจจัยนโยบายการค้าสหรัฐ สัญญาณกดดันต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ช่วยเร่งให้ทองคำกลับมาเป็นแกนสำคัญของพอร์ตลงทุนทั่วโลก
หลังการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในสหรัฐ ราคาทองคำไต่สู่จุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง กระแสเงินทุนหันหาความปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนเชิงนโยบายส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีทองคำสร้างผลตอบแทนราว 43% สูงสุดในรอบเกือบครึ่งศตวรรษ ตอกย้ำภาพ ‘สินทรัพย์สร้างสถิติ’ ประจำปี
โดยโครงสร้างดีมานด์หนุนราคาชัดเจนจากฝั่งธนาคารกลาง จากข้อมูลของ Metals Focus พบว่าตั้งแต่ปี 2565 ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำสุทธิปีละมากกว่า 1,000 ตัน และคาดว่าปีนี้จะซื้อทองเพิ่มเติมอีกประมาณ 900 ตัน เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าของค่าเฉลี่ยรายปีที่ 457 ตัน ในช่วงปี 2559–2564
ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่ง ก็พยายามลดความเสี่ยงจากการถือครองดอลลาร์ (De–Dollarization) หลังจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกทำให้รัสเซียสูญเสียเงินทุนสำรองต่างประเทศเกือบครึ่งหนึ่งในปี 2565 และจากข้อมูลที่รายงานต่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) พบว่าในปี 2567 มีเพียง 34% ของความต้องการทองคำของธนาคารกลางทั้งหมดที่เปิดเผยต่อสาธารณะ
ขณะที่ World Gold Council (WGC) ระบุว่าธนาคารกลางมีส่วนสนับสนุนประมาณ 23%ของความต้องการทองคำรวมต่อปีในช่วง 2565–2568 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในทศวรรษ 2553 เกือบ 2 เท่า
ด้านนักลงทุนสถาบันก็พุ่งความสนใจไปที่ทองคำเช่นกัน สะท้อนจากการที่มีเงินไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำ ในช่วมกราคม – กรกฎาคม รวม 420 ตัน ผลักดันให้การถือครองรวมของ ETF สู่ 3,639 ตัน เมื่อสิ้นกรกฎาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่สิงหาคม 2563 และเข้าใกล้สถิติเดิมที่ราว 3,915 ตัน ในช่วง 5 ปีก่อน
อีกทั้งยังมีสัญญาณเด่นจาก SPDR Gold Trust ที่กลับมาถือครองเกิน 1,000 ตัน เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี และซื้อสุทธิในปีนี้กว่า 127.18 ตัน (ข้อมูล ณ วันที่ 23 กันยายน 2568) โดยภาพรวมทำให้ตลาดมีทั้ง ‘เสาหลัก’ จากผู้เล่นภาครัฐ และ ‘ฐานกว้าง’ จากเงินกองทุนที่ทำให้สภาพคล่องหนาแน่นยิ่งขึ้น ความแข็งแรงของสถิติเหล่านี้ สะท้อนสู่ฉากทัศน์แนวโน้มราคาที่ไต่ระดับขึ้น
<หลายกูรูประเมินราคาทองอาจจะพุ่งได้อีก>
ในช่วงที่ราคาทองร้อนแรง บรรดาสถาบันการเงินรพะดับโลกต่างก็ออกมาปรับคาดการณ์ราคาทองกันยกใหญ่ เริ่มจาก Citibank ที่คาดการณ์ราคาทองแตะ 3,800 ดอลลาร์ ภายใน 3 เดือน และอาจพุ่งถึง 4,000 ดอลลาร์
ขณะที่ Deutsche Bank ประเมินว่าราคาทองคำจะแตะ 4,000 ดอลลาร์ ในปี 2569, UBS คาดการณ์ว่าราคาจะขึ้นไปที่ 3,900 ดอลลาร์ กลางปี 2569, ธนาคารแห่งอเมริกา (BofA) ประเมินว่าราคาเฉลี่ยรายไตรมาสจะอยู่ที่ 4,000 ดอลลาร์ ในไตรมาส 2 ปี 2569, เจพี มอร์แกน คาดราคาทองพุ่งถึง 4,000 ดอลลาร์ ในไตรมาส 2 ปี 2569 และโกลด์แมนแซคส์ ปรับเป้าเชิงรุกสูงสุด คาดปี 2569 อาจแตะ 4,000 ดอลลาร์ ในกลางปี 2569 และมีโอกาสพุ่งถึง 5,000 ดอลลาร์ หากเงินลงทุนเพียง 1% ของตลาดพันธบัตรโลก ไหลเข้าสู่ทองคำ
<ฮั่วเซ่งเฮงมองเป้าราคาทองปีนี้สูงขึ้น>
ในบทวิเคราะห์ของฮั่วเซ่งเฮงเองก็มองกรอบราคาทองปีนี้ไว้ที่ 3,780–3,930 ดอลลาร์ โดยคาดการณ์เป้าหมายราคาทองคำไว้ที่ 3,780 ดอลลาร์ และอาจสูงถึง 3,930 ดอลลาร์ ซึ่งในระยะสั้นให้ระวังแรงเทขายทางเทคนิคจากการเกิดภาวะ Overbought ใน RSI ซึ่งมีโอกาสเห็นการปรับฐานต่อราว 5–7% กลับไปยังโซน 3,500–3,550 ดอลลาร์ ถือเป็นแนวรับที่สำคัญ หากราคามีการปรับลงจริง ยังคงมองเป็นโอกาสในการซื้อสะสมเข้าพอร์ตการลงทุน
สำหรับภาพรวมระยะกลางถึงยาว ฮั่วเซ่งเฮงมองว่าราคาทองคำยังได้แรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคง ทั้งการถือครองของธนาคารกลาง ความอ่อนค่าของดอลลาร์ และภาวะดอกเบี้ยขาลง ทำให้การปรับฐานรอบนี้มีโอกาสเป็นเพียงการพักฐาน เพื่อสะสมมากกว่าที่จะเป็นการสิ้นสุดรอบของขาขึ้น
<ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำเพิ่มขึ้น>
ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่าดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำในเดือนกันยายน 2568 พุ่งขึ้นแรง จากการที่เฟดลดดอกเบี้ยหนุนให้ราคาทองคำไปต่อ หากทะลุ ATH พร้อมขึ้นไปทดสอบ 3,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์
โดยเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า หลังจากที่เฟดลดดอกเบี้ย 02.5% พร้อมเผย dot plot ว่าจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ทำให้ราคาทองคำได้ปรับฐานลงมาแถว 3,630 ดอลลาร์ ก่อนที่จะปรับเพิ่มขึ้นแรงเมื่อวันศุกร์ โดยมาปิดตลาดแถว 3,684 ดอลลาร์ และมีโอกาสที่จะไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 3,707 ดอลลาร์
ทั้งนี้ เมื่อมามองดูดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำประจำเดือนกันยายนก็ได้ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 1.53 จุด มาอยู่ที่ระดับ 76.56 สาเหตุก็มาจากนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ FED, แรงซื้อเก็งกำไร, นโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐ และการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ
กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่และผู้ประกอบกิจการนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำ 12 ราย ได้คาดการณ์กรอบราคาทองคำตลาดโลก (gold spot) เดือน กันยายน ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 3,403–3,690 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่งในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 52,700–5,100 บาท และยังมองว่าตลาดทองคำเดือนกันยายนยังคงมีความผันผวนอาจเน้นการลงทุนในระยะสั้น เช่น รอจังหวะราคาทองคำปรับฐานลงเพื่อเข้าซื้อ และขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวสูงขึ้น โดยต้องโฟกัสทิศทางดอกเบี้ยของ FED รวมถึงปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความตึงเครียดในตะวันออกกลาง หรือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย–ยูเครน
ซึ่ง ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ มองแนวรับราคาทองคำไทยระยะสั้นอยู่ที่ 55,000 บาท และแนวต้านแรกหากแถว 55,600 บาท ขณะที่ ราคาทองคำ gold spot หากขึ้นไปทดสอบ 3,707 ดอลลาร์ และถ้ายืนได้ แนวต้านถัดไปจะอยู่แถว 3,750 ดอลลาร์ ส่วนแนวรับแรกจะอยู่แถว 3,630 ดอลลาร์ หากหลุดลงไปไปแนวรับสำคัญจะอยู่ที่ 3,600 ดอลลาร์ หากว่ายังรับไม่อยู่อาจลงไป 3,550 ดอลลาร์
<ทองคำไทยพุ่งแรงและเร็ว 33.73% จากต้นปี>
คุณพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) บอกว่าราคาทองไทยขึ้นไปทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 57,000 บาท (ณ วันที่ 24 กันยายน 2568) ซึ่งถือว่าถึงเป้าหมายแรกของปีนี้ที่ YLG ให้ไว้ที่ 57,000 บาทเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบันราคาทองคำในประเทศพุ่งขึ้นแล้ว 14,350 บาทต่อบาททอง หรือคิดเป็น 33.73%
YLG ยังคงมองเป้าหมายแรกของทองคำในประเทศไว้ที่ 57,000 บาท หากราคาทะลุเป้าหมายแรกมีโอกาสที่จะทดสอบเป้าหมายถัดไปที่ 60,000 บาทต่อบาททองคำ อย่างไรก็ดีหากเงินบาทแข็งค่าจากระดับปัจจุบันที่ 31.83 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก็จะส่งผลให้ความเป็นไปได้ที่จะไปทดสอบเป้าหมายถัดไปลดลง ดังนั้นการเคลื่อนไหวของทองคำในประเทศขึ้นอยู่กับค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ
<ส่องราคาทองคำย้อนหลัง 14 ปี>
ข้อมูลจอ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ พบว่าราคาทองคำแท่ง 96.5% ช่วงปี 2554– 2567 มีการปรับผันผวนไปบ้าง แต่เป็นขาขึ้นมาโดยตลอด
– ปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้น 8,750 บาท ราคาสูงสุด 44,550 บาท และราคาต่ำสุด 44,600 บาท
– ปี 2566 ปรับเพิ่มขึ้น 3,800 บาท ราคาสูงสุด 34,400 บาท และราคาต่ำสุด 29,650 บาท
– ปี 2565 ปรับเพิ่มขึ้น 1,200 บาท ราคาสูงสุด 32,100 บาท และราคาต่ำสุด 28,250 บาท
– ปี 2564 ปรับเพิ่มขึ้น 1,800 บาท ราคาสูงสุด 28,950 บาท และราคาต่ำสุด 24,450 บาท
– ปี 2563 ปรับเพิ่มขึ้น 5,300 บาท ราคาสูงสุด 30,400 บาท และราคาต่ำสุด 24,650 บาท
– ปี 2562 ปรับเพิ่มขึ้น 1,850 บาท ราคาสูงสุด 22,300 บาท และราคาต่ำสุด 19,250 บาท
– ปี 2561 ปรับลดลง 400 บาท ราคาสูงสุด 20,300 บาท และราคาต่ำสุด 18,150 บาท
– ปี 2560 ปรับเพิ่มขึ้น 350 บาท ราคาสูงสุด 21,200 บาท และราคาต่ำสุด 19,250 บาท
– ปี 2559 ปรับเพิ่มขึ้น 1,450 บาท ราคาสูงสุด 22,800 บาท และราคาต่ำสุด 18,200 บาท
– ปี 2558 ปรับลดลง 300 บาท ราคาสูงสุด 20,150 บาท และราคาต่ำสุด 17,900 บาท
– ปี 2557 ปรับลดลง 400 บาท ราคาสูงสุด 21,150 บาท และราคาต่ำสุด 17,750 บาท
– ปี 2556 ปรับลดลง 5,300 บาท ราคาสูงสุด 24,350 บาท และราคาต่ำสุด 17,800 บาท
– ปี 2555 ปรับเพิ่มขึ้น 1,150 บาท ราคาสูงสุด 25,900 บาท และราคาต่ำสุด 23,050 บาท
– ปี 2554 ราคาปรับเพิ่มขึ้น 3,350 บาท ราคาสูงสุด 27,100 บาท และราคาต่ำสุด 19,400 บาท
“ช่วงนี้ใครมีแผนที่จะแต่งงาน ตั้งงบสินสอดเป็นทองคำไว้ ก็น่าจะคิดหนักกันอยู่พอสมควร ด้วยวัฒนธรรม ประเพณีบ้านเรา มักจะใช้ทองคำเป็นสินสอดทองหมั้นกันอยู่ เพราะนอกจากจะเป็นสินทรัพย์มีค่า ที่เอาไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้แล้ว ในแง่ของนักลงทุน ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่เหมาะสำหรับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุนด้วย จากความมีเสถียรภาพของทองไม่ได้ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง มีปริมาณจำกัดตามธรรมชาติ และที่สำคัญยังสามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ค่าเงินอ่อนตัว หรือวิกฤตการณ์ทางการเงินได้ด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะถือไว้เพื่อลงทุน หรือเก็บสะสมไว้ยามจำเป็นแล้ว ทองคำยังเป็นสินทรัพย์กันตายของใครหลายคนอีกด้วย BTimes เองก็เชื่อว่าราคาทองยังไปต่อได้อีก อาจได้เห็น 60,000 ได้ แต่จะเร็วหรือช้า ต้องมาลุ้นกัน…”