ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเชื่อว่าหลายๆ คนจะได้ติดตามข่าว สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ก่อนหน้านี้เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาในพื้นที่ที่ยังมีข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดน ซึ่งปัจจุบันก็ได้กลายเป็นประเด็นตอบโต้ทางการเมืองกันระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ
ในแง่มุมของความมั่นคง แม้นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร จะออกมาย้ำจุดยืนเดิมคือจะเข้าสู่กลไกการเจรจาในคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา หรือ JBC และยังย้ำแนวทางเรื่องการเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะเพื่อนบ้านควรคุยกันอย่างมิตร
<การค้าไทย-กัมพูชาน่ากังวล>
ในแง่ของการค้า โดยเฉพาะการค้าชายแดนยังเป็นประเด็นที่น่ากังวลอยู่ เนื่องจากเป็นเส้นทางและจุดค้าขายหลักของทั้งสองประเทศ ทั้งการลำเสียงสินค้าส่งออกไปขายยังเพื่อนบ้าน โดยในช่วงปี 2567 พบว่าเฉพาะการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา มีการค้ารวม 175,530 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 141,846 ล้านบาท การนำเข้ามูลค่า 32,684 ล้านบาท ได้ดุลการค้า 109,163 ล้านบาท
ใน 4 เดือนแรกของปี 2568 ถึง เม.ย. 2568 มูลค่าการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา มีมูลค่า 64,612 ล้านบาท เป็นการส่งออก 50,225 ล้านบาท และการนำเข้า 14,387 ล้านบาท ซึ่งไทยยังได้ดุลการค้ามูลค่า 35,838 ล้านบาท
คุณอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ประเมินว่าหากไทยมีการปิดด่านชายแดน แค่ที่ด่านอรัญประเทศเพียงแห่งเดียว จะส่งผลต่อมูลค่าการค้ามากกว่า 60% ของทั้งหมด ปิดด่านคลองใหญ่ และจันทบุรี รวมกันอีก 30% ดังนั้นสรุปการปิดด่านใหญ่ 3 แห่งจะทำให้การค้าชายแดนไทย–กัมพูชาหยุดชะงักเกือบทั้งหมด เพราะมูลค่าการค้าในด่านอรัญประเทศ (สระแก้ว) 110,718 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 63.4%
<ถ้าปิดด่านชายแดน 100% จะแย่กันหมด>
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มองว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจหลังไทยใช้ มาตรการจำกัดเวลาเปิด–ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชานั้น ผลกระทบที่เห็นชัดในปัจจุบันคือ การที่ด่านอรัญประเทศ มีมาตรการห้ามรถบรรทุกขนาดใหญ่ข้ามแดน ทำให้ผู้ประกอบการต้องเปลี่ยนไปใช้รถกระบะลำเลียงสินค้าแทน ซึ่งทำให้ต้นทุนขนส่งเพิ่มขึ้น และผู้ประกอบการบางส่วนต้องปรับไปใช้ด่านบ้านหนองเอี่ยน บริเวณสะพานมิตรภาพไทย–กัมพูชาที่ยังเปิดให้รถบรรทุกข้ามได้
สำหรับสินค้าที่กัมพูชานำเข้าจากไทยส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภค บริโภค เป็นสินค้าจำเป็นในการดำรงชีวิต ถึงแม้ว่าจะมีสินค้าทดแทนจากเวียดนามก็ตาม แต่หากดูจากระยะทางของการส่งสินค้าจากไทยจะใกล้ และสะดวกกว่า รวมไปถึงค่าใช้จ่ายก็จะน้อยกว่า และกัมพูชาอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงการนำเข้าสินค้าจากไทยเป็นนำเข้าจากเวียดนาม ซึ่งหอการค้าไทยมองว่ากัมพูชาน่าจะยังคงนิยมบริโภคสินค้าจากไทยมากกว่า ถ้าหากรัฐบาลไทยไม่มีมาตรการปิดชายแดนถาวร
ขณะนี้การปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาของรัฐบาลเป็นการปิดด่านชั่วคราวไม่ได้มีเงื่อนไขในการกีดกันการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าระหว่างกัน และการเปิดเส้นทางส่งออกสินค้าระหว่างกันยังคงดำเนินการอยู่ การค้าก็ยังเป็นปกติ มาตรการยังจำกัดการข้ามแดนไทย–กัมพูชา จะกระทบการส่งออกไทยเพียง 5–10% แต่ถ้าหากปิดด่าน 100% ถาวร ก็มองว่าจะเกิดความเสียหาย ซึ่งอาจได้เห็นความเสียหายของมูลค่าทางเศรษฐกิจหลัก 10,000 ล้านบาทต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คงต้องจับตาดูว่าสถานการณ์จะรุนแรงมากขึ้นหรือไม่ โดยทั้ง 2 ฝ่าย ก็ตรึงกำลังทหารตามแนวชายแดนซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่ต้องรอดูแนวทางการแก้ไขของทั้ง 2 ประเทศจะเป็นอย่างไร ถ้าประชาชนทั้ง 2 ประเทศไม่มีความบาดหมางต่อกันผลกระทบทางเศรษฐกิจจะไม่สูง ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง 2 ประเทศพยายามลดผลกระทบต่อประชาชนให้มากที่สุด
<จำกัดเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดนการค้าขายเริ่มสะดุด>
คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากมาตรการการเปิด–ปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา ตามเวลาของกองทัพบก ย่อมทำให้เกิดการชะงักงันของการขนส่งสินค้าที่ต้องผ่านชายแดน ซึ่งจากการสอบถามสมาชิกของ ส.อ.ท. พบว่าปัจจุบันเริ่มได้รับผลกระทบบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายได้ในขณะนี้ กำลังรอสรุปตัวเลขที่ชัดเจนอยู่
ซึ่งเวลานี้ยังประเมินไม่ได้ว่าการเปิด-ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ตามเวลาของกองทัพบกนั้น จะกระทบเท่าไหร่ แต่หากคำนวณด้วยวิธีการหารจากยอดส่งออกทั้งหมดต่อวัน ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาทต่อวัน แต่ต้องทำความเข้าใจด้วยว่ามูลค่า 500 ล้านบาทดังกล่าวคงไม่ได้ถูกกระทบไปทั้งหมด มีเพียงบางส่วนเท่านั้น หรือเรียกว่าถูกกระทบบ้าง โดยหวังว่าสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นจะไม่ยืดเยื้อเป็นเวลานาน เพราะยิ่งยืดเยื้อมากเท่าไหร่ ผลกระทบก็จะมากขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากการที่มีมาตรการไม่ปกติ ย่อมทำให้เกิดผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็เข้าใจว่าการดำเนินมาตรการดังกล่าว เพื่อทำให้เกิดการเจรจาหาข้อสรุปอย่างสันติวิธี
คุณเกรียงไกร มองว่าการเกิดข้อพิพาทดังกล่าวจะทำให้ทั้งไทยและกัมพูชาได้รับความเสียหาย ซึ่งไทยเป็นฝ่ายที่ได้ดุลการค้ากัมพูชาจากการส่งสินค้าอุปโภค บริโภค น้ำมันเครื่อง เครื่องยนต์ เครื่องจักร ซึ่งเมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นสินค้าดังกล่าวก็จะได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งนี้เชื่อว่าไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วไทยก็จำเป็นต้องปิดด่านขั่วคราว เพื่อให้เกิดการเจรจาบนโต๊ะ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเจรจาจะได้ผลที่ดี มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อทำให้ด่านต่างๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะส่งผลดีกับประชาชนของทั้ง 2 ประเทศที่จะไม่ได้รับผลกระทบ และจะมีการค้าขายกันเหมือนเดิม
ก่อนหน้านี้ กระทรวงการต่างประเทศของไทยเองก็ได้ออกมาตรการจำกัดฟรีวีซ่าคนกัมพูชา ให้เหลือแค่ 7 วัน จากเดิม 60 วันแบบไม่มีกำหนด รวมทั้งอาจจะมีการตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ตที่ไทยเชื่อมต่อขายให้กับกัมพูชาด้วย รวมทั้งมาตรการของกองทัพที่ปิดด่านชายแดน
<กัมพูชาโต้กลับ หลังถูกขู่ตัดไฟฟ้า-อินเทอร์เน็ต จำกัดเปิด–ปิดด่าน>
ล่าสุด ทางฝ่ายกัมพูชาก็มีมาตรการตอบโต้ออกมาต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยเว็บไซต์สำนักข่าวขะแมร์ไทม์ khmertimeskh.com เปิดเผยข่าวความเคลื่อนไหวล่าสุดจากฝั่งกัมพูชาจาก “สมเด็จ ฮุน เซน” ประธานสภาผู้แทนราษฎรกัมพูชา ระบุว่า หากฝ่ายไทยยังคงปฏิเสธที่จะเปิดจุดผ่านแดนที่ได้ปิดไปโดยฝ่ายเดียว โดยได้ประกาศ
- ระงับการนำเข้าสินค้าจากไทยสู่ตลาดกัมพูชา ซึ่งหมายถึงการหยุดการใช้สินค้าจากไทยและแทนที่ด้วยสินค้าท้องถิ่นหรือสินค้าจากประเทศอื่นที่ไม่ใช่ไทย
- เตรียมแผนการซื้อสินค้าส่วนใหญ่ที่เคยส่งออกไปยังไทย โดยการหาตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- ส่งต่อผู้ป่วยที่เคยขอรับการรักษาจากไทยให้ไปยังโรงพยาบาลในประเทศหรือสถาบันการแพทย์ในประเทศอื่น
- เตรียมแผนการรับและจัดการการจ้างงานสำหรับแรงงานที่อาจจะต้องกลับจากไทย กัมพูชากำลังเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานในหลายภาคส่วน เช่น อุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการก่อสร้าง โดยแรงงานกัมพูชาอาจเลือกที่จะกลับประเทศโดยสมัครใจ ก่อนที่จะถูกส่งกลับจากไทย ซึ่งบางพื้นที่ในไทยกำลังประสบกับการเลือกปฏิบัติและการดูถูกจากบางกลุ่ม
- ทุกกองกำลังทหารต้องอยู่ในสภาพพร้อมรบตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อพร้อมรับมือและปกป้องหากเกิดการรุกราน
6.จังหวัดที่อยู่ใกล้ชายแดนต้องเตรียมพร้อมที่จะอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัย และจัดเตรียมอาหาร ยารักษาโรค และวัสดุจำเป็นอื่นๆ ให้เพียงพอ
<คนกัมพูชาแบนสินค้าไทย>
ในส่วนของกระแสแบนสินค้าไทยจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยนั้น กระทรวงพาณิชย์ระบุว่าตอนนี้ยังอยู่ในวงจำกัดเฉพาะกลุ่ม แต่หลังจากนี้คงต้องติดตามต่อว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไร เพราะที่ผ่านมา ท่านฮุน เซน และนายกรัฐมนตรีกัมพูชา พยายามไม่ให้คนกัมพูชาโยงเรื่องข้อพิพาทไปประเด็นอื่น แต่ขณะนี้ทั้ง 2 คนได้ประกาศออกมาเอง ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน จึงคาดเดาได้ยากว่าทิศทางจะเป็นแบบไหน
การออกมาประกาศของ ฮุน เซน คาดว่าเป็นการตอบโต้มาตรการของไทยที่ห้าม ชาวไทยข้ามไปเล่นพนันที่ด่านอรัญประเทศ–ปอยเปต จนส่งผลให้กิจการกาสิโนซบเซาลงไปมาก รวมถึงเป็นการสร้างข้อต่อรองกับฝ่ายไทย ก่อนการเจรจา JBC ในวันที่ 14 มิ.ย.
“ในมุมองของคนในพื้นที่ เชื่อว่าต่างฝ่ายต่างพึ่งพาอาศัยกันตามวิถีชีวิตของชาวบ้านที่สืบเนื่องกันมานมนาน ภายหลังจากหมดยุคสงครามชิงดินแดนในอดีต แต่ทว่า ความขัดแย้งในปัจจุบันกลายเป็นระดับการเมืองระหว่างประเทศ และอาจลุกลามไปยังเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการค้าการขายของ 2 ประเทศตามแนวชายแดนและผ่านแดนไปยังประเทศที่ 3 นอกจากเศรษฐกิจชายแดนจะเสียหาย และประชาชนที่อยู่รอบชายแดนเอง ก็จะได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”