ความขัดแย้งกระทบกระทั่งกันตามแนวชายแดนไทยกับกัมพูชา ที่ปะทุขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา (28 พ.ค. 68) ดูเหมือนจะยืดเยื้อและบานปลายออกไปเรื่อยๆ แม้ว่าไทยและกัมพูชาจะมีการหารือกันในที่ประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) ครั้งล่าสุดเมื่อวันเสาร์ (15 มิ.ย.) ที่ผ่านมา
ถึงแม้จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดลงบ้าง แต่ฝ่ายกัมพูชาก็ยังคงยืนยันจุดยืนเดิม คือนำข้อพิพาทชายแดนใน 4 พื้นที่มอมเบย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และยังยืนยันกับฝ่ายไทยต่อไปว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พื้นที่ทั้ง 4 แห่งนี้จะไม่เป็นหัวข้อหรือวัตถุในการหารือและการแก้ไขภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา–ไทย (JBC) อีกต่อไป และย้ำด้วยว่าจะยึดตามเอกสารกฎหมายและแผนที่ที่ตกลงกันตามที่ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2000 ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะใช้แผนที่มาตราส่วน 1/200,000 โดยจะไม่ยอมรับแผนที่ที่ฝ่ายไทยวาดขึ้นโดยฝ่ายเดียวและใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง ซึ่งเป็นแหล่งที่มาหลักของข้อพิพาทพรมแดนเรื้อรังทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
สะท้อนถึงท่าทีของกัมพูชาที่แสดงให้เห็นว่าจะยังใช้ไพ่ใบเดิมในการงัดข้อกับไทย
และจากท่าทีของนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาต่อการตอบโต้ แก้เกมกัมพูชา ได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เป็นอย่างมาก และด้วยความสัมพันธ์อันยาวนานของฮุน เซน กับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิน ชินวัตร ผู้เป็นบิดาของนายกฯ ยิ่งทำให้กระแสวิจารณ์ถาโถมไปที่นายกฯ แพทองธารไม่หยุด
จนกรณีล่าสุด นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้โพสต์คลิปเสียงการพูดคุยระหว่างตนเองกับ นายกรัฐมนตรีของไทย เนื้อหาสำคัญคือการเจรจาปมพิพาทชายแดน บริเวณ ‘ช่องบก’ ชายแดนไทย–กัมพูชา จ.อุบลราชธานี และมีการพาดพิงถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 จนทำให้นายกรัฐมนตรี ออกมาแถลงชี้แจงด่วน โดยได้ยอมรับว่าคลิปเสียงสนทนาระหว่างเธอกับ สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาและประธานวุฒิสภาของกัมพูชา เป็นคลิปเสียงจริง พร้อมชี้แจงว่าประเด็นที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 “เป็นเทคนิคในการคุยการเจรจาต่อรอง” และไม่ทราบว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล “ฮุน–ชินวัตร” จะเป็นอย่างไรต่อไป
จากสถานการณ์ปมข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมาได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับเสถียรภาพรัฐบาลแพทองธาร เข้าไปอีก และได้นำไปสู่การจำกัดเวลาปิดเปิดด่านชายแดน ทั้ง 18 แห่ง ใน 7 จังหวัด ชายแดนกัมพูชา คือ จ.ตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ซึ่งได้สร้างความกังวลให้กับภาคธุรกิจทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะการค้าการขายที่อาจจะชะลอส่งผลกระทบไปถึงประชาชนทั้ง 2 ประเทศที่ไม่ได้รับความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอยเพื่อหาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ยังรวมไปถึงกระแสการแบนสินค้าไทย ละครไทย ที่ผู้นำกัมพูชาใช้เป็นกลยุทธ์การต่อรอง
ด้วยภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังเผชิญความเสี่ยงจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกอย่างสงครามการค้า มาตรการภาษีที่การเจรจาก็ยังไม่ชัดเจน ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่สุ่มเสี่ยงจะมีผลกระทบต่อเส้นทางเดินเรือ และการส่งออกยังต้องมีความเสี่ยงกับปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา ยิ่งเหมือนเคราะห์ซ้ำ บั่นทอนความเชื่อมั่นของประเทศไทยลงอีก
คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ยอมรับว่าสถานการณ์ขณะนี้น่ากังวลมากขึ้น ทั้งสถานการณ์สู้รบในตะวันออกกลางที่รุนแรงมากขึ้น และการเจรจากำแพงภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐ ยังไม่รู้ว่าจะมีออกมาเป็นอย่างไร หากผลออกมาไทยเสียเปรียบคู่แข่ง จะยิ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออก และเศรษฐกิจภายในประเทศในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ประกอบกับปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ทำให้ไทยเผชิญความเสี่ยงมากกว่าที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชานั้น ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศไทย และเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ อีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่มขึ้นมาภายในประเทศของเราเอง
รวมทั้งกรณีที่พรรคภูมิใจไทยประกาศลาออก ทั้งที่เป็นพรรคที่มีจำนวน ส.ส.มาก ก็ต้องคอยติดตามขดูว่ารัฐบาลจะมีพรรคร่วม หรือจำนวนเสียงของพรรคเป็นอย่างไรต่อไป
ด้านตลาดหุ้นในบ้านเรา ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาดำดิ่งหนักหนาสาหัสจนน่าตกใจ ดัชนียังเคลื่อนไหวอยู่แถว 1,000 กว่าจุด ตุ๊มๆต่อมๆ ว่าจะหลุด 1,000 จุดวันไหนเข้าสักวัน นอกเหนือจากความกังวลนอกประเทศ ก็ยังมีความกังวลการเมืองและความมั่นคงของรัฐบาลปัจจุบันด้วยที่ฉุดดัชนีหุ้นไทยให้ดิ่งลึกลงมามาก โดยช่วงก่อนปลายสัปดาหืดัชนีหุ้นไทยเกือบหลุด 1,000 จุ และดำดิ่งหนักในรอบ 5 ปี หรือตั้งแต่วิกฤตการณ์โควิด –19 ในไทย ดัชนี SET ร่วงลงเหวมากกว่า –23% ตั้งแต่ต้นปีนี้อีกด้วย
บล.ยูโอบี เคย์เฮีน (ประเทศไทย) ระบุว่าตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในช่วงขาลง แม้จะมีการฟื้นตัวเล็กน้อยในช่วงเช้าจากความคืบหน้าทางการเมืองที่รัฐบาลเดินหน้าต่อได้ แต่สถานการณ์โดยรวมยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ตลาดเผชิญกับแรงเทขายหนักในช่วงเย็น และการ rebalance ของดัชนี FTSE ในขณะที่กลุ่มหุ้นธนาคารทรงตัวได้เล็กน้อยจากความคืบหน้าเรื่อง Virtual Bank ทั้งนี้ การลงทุนในระยะกลางยังคงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
บลป. เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล แนะติดตามความเคลื่อนไหวของรัฐบาลอย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยสูงในระยะนี้ พรรคร่วมรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลจะมีทางออกต่อสถานการณ์ที่กดดันนี้อย่างไร รวมถึงติดตามผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) สัปดาห์หน้าด้วยเช่นกัน
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) มองว่ากรณีความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชานั้น ส่วนตัวเชื่อว่าไม่มีผลอย่างมีนัยยะต่อ GDP ไทย เพราะ GDP ไทยกว่า 50% ขับเคลื่อนด้วยการบริโภคในประเทศ
ส่วนบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ก็มีบางบริษัทขายสินค้าในกัมพูชา อาทิ CBG SCC แต่ก็ไม่มีผลอย่างมีนัยยะต่อผลประกอบการ เพราะมีแหล่งรายได้จากที่อื่น ส่วนหุ้นท่องเที่ยวไม่มีผลอย่างมีนัยยะเช่นกัน จากการที่อิงรายได้จากคนในประเทศ จีน และยุโรป
ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค. – เม.ย.) พบว่าการค้าระหว่างประเทศไทย–กัมพูชา มีมูลค่ารวม 126,283 ล้านบาท ขยายตัว +2.3 % ในขณะที่การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา มูลค่า 64,612 ล้านบาท ขยายตัว +12.4 % อีกทั้งยังมีการค้าผ่านแดนด้านกัมพูชาไปยังประเทศที่ 3 ที่หากในอนาคต ปิดด่าน 100% การค้าของไทยก็จะต้องชะงักตามไปด้วย
แม้ปมความขัดแย้งไทย–กัมพูชา อาจจะไม่ได้เป็นปัจจัยหลักฉุดเศรษฐกิจไทย แต่ด้วยเสถียรภาพของรัฐบาล กระแสกลุ่มผู้ชุมนุมขับไล่นายกฯ ลงจากตำแหน่ง ความสั่นคลอนของพรรคร่วมรัฐบาลที่สะท้อนไปยังสายตานานาประเทศ และนักลงทุน ย่อมมีผลกระทบตามมาอย่างแน่นอน…