เศรษฐกิจไทยเจอศึกหนัก สารพัดปัจจัยฉุดรุมเร้า เสี่ยงทายครึ่งปีหลังจะทรงหรือทรุด

เศรษฐกิจไทย เจอศึกหนัก สารพัดปัจจัยฉุดรุมเร้า เสี่ยงทายครึ่งปีหลังจะทรงหรือทรุด

สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในตอนนี้ เรียกได้ว่ากำลังเผชิญกับความท้าทายและความเสี่ยงอยู่รอบด้าน ทั้งปัจจัยภายใน โดยเฉพาะการเมืองที่เสถียรภาพของรัฐบาลเริ่มจะสั่นคลอน ภายนอกประเทศที่รุมเร้าด้วยความเสี่ยงการเจรจาภาษี สงครามการค้า ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังไม่ยุติ หรือแม่แต่ปัญหาข้อพิพาทกับเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาที่ดูเหมือนจะยังไม่จบบริบูรณ์สักที

การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ในนัดล่าสุดนี้จึงมีความสำคัญต่อการกำหนดทิศทาง หรือพยุงเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ซึ่งล่าสุด ผลก็ปรากฎว่า กนง. ได้มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% เท่าเดิม โดยมีกรรมการฯ 1 ท่านเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% การคงอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้มาจากการประเมินของ กนง. ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมาสามารถรองรับความเสี่ยงได้ดีระดับหนึ่ง นโยบายการเงินควรอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าและให้ความสำคัญเรื่องจังหวะเวลากับประสิทธิผลของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเห็นว่าความไม่แน่นอนที่อยู่ในระดับสูงในปัจจุบัน ประกอบกับ Policy space ที่มีจำกัด ทำให้การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้เหมาะสมกับแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะชะลอลงและจะเผชิญความเสี่ยงสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

การที่ กนง. คงดอกเบี้ยก็เนื่องจากมองว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวต่ำกว่า 2.0% มีไม่มาก ซึ่งจากการประเมินกรณีฐาน (Baseline) ของแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่มองว่าผลกระทบของสงครามการค้ามีขอบเขตจำกัดขึ้น สหรัฐฯ อาจไม่ได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าในระดับสูงเป็นวงกว้าง ซึ่งแตกต่างจากการประเมินในการประชุมครั้งก่อนที่ กนง. ไม่ได้ระบุ Baseline ชัดเจน อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลกยังคงอยู่ในระดับสูง

กนง.คงดอกเบี้ย แต่ปรับเพิ่มเป้าจีดีพี

คุณสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้เป็น 2.3% เพิ่มขึ้นจากระดับเดิมที่ 2.0% นั้น ได้รวมปัจจัยเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาทเข้าไว้แล้ว แต่ยังไม่รวมปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองไว้ในประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ เพราะยังไม่เห็นพัฒนาการที่ชัดเจน เว้นเสียแต่ว่าจะมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างชัดเจน เช่น ในปี 2566 ที่มีผลต่อการจัดทำงบประมาณที่ล่าช้า ซึ่งทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณต้องเลื่อนออกไปจากปกติค่อนข้างมาก

สำหรับประมาณการเศรษฐกิจไทยที่สำคัญในปีนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออก ปีนี้โต 4% ส่วนปี 69 หดตัว -2%, อัตราเงินเฟ้อปีนี้ 0.5% ปีหน้า 0.8%, จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปีนี้ 35 ล้านคน ปีหน้า 38 ล้านคน, ดุลบัญชีเดินสะพัด ปีนี้ เกินดุล 11 พันล้านดอลลาร์ ปีหน้า เกินดุล 13 พันล้านดอลลาร์

ส่วนในครึ่งปีหลัง คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวแรง เพราะประเมินว่าการเติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) จะขยายตัวได้เพียง 0.1% เท่านั้น จากระดับศักยภาพที่ 0.7-0.8%

ซึ่งการประเมินเศรษฐกิจไทยดังกล่าว อยู่ภายใต้สมมติฐานว่าได้มีการเจรจานโยบายการค้ากับสหรัฐฯ และได้ลดอัตราภาษีลงครึ่งหนึ่งจากที่สหรัฐฯ ประกาศไว้ คือเหลือ 18% จาก 36% ขณะที่ประเทศอื่นได้ 10% ส่วนจีนได้ 30% แต่ยังคงต้องติดตามผลการเจรจาอย่างใกล้ชิด เพราะผลสุดท้ายที่ออกมา อาจจะมีได้ทั้งด้านบวก หรือด้านลบ รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นด้วย เช่น เรื่องปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยภายในประเทศด้วย

นโยบายการเงินจำเป็นต้องผ่อนคลาย แต่ต้องถูก “Timing”

คุณสักกะภพ บอกว่า กนง. ลดดอกเบี้ยตั้งแต่ปลายปี 67 ที่ผ่านมา จนถึงครึ่งแรกของปีนี้ รวมแล้ว 3 ครั้ง ถือว่ารองรับความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นเหตุผลที่ กนง. คงดอกเบี้ยรอบนี้ เป็นเรื่องของ timing และประสิทธิภาพการทำนโยบายภายใต้ policy space ที่มีจำกัด ควรจะใช้ตอนไหน ซึ่งภายใต้ความไม่แน่นอนที่ยังมีสูง กนง. ก็พร้อมที่จะปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า เพราะหากสถานการณ์ในขณะนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูงอาจส่งผลให้นโยบายการเงินมีประสิทธิผลไม่มากที่เท่าควร

ซึ่งก็มีการวิเคราะห์ว่า “กนง. เก็บกระสุนดอกเบี้ยไว้ เพื่อรอจังหวะนำออกมาใช้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม”

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งที่ กนง. ก็เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่เหตุใดจึงไม่ใช้นโยบายการเงินด้วยการลดดอกเบี้ยนั้น คุณสักกะภพ กล่าวว่าการที่แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าโตชะลอลง มีผลจากเรื่องการส่งออก นโยบายการค้า การแข่งขันที่สูงขึ้นจากปัญหาการทะลักของสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย ซึ่งนโยบายดอกเบี้ยคงมีบทบาทจำกัด สิ่งที่นโยบายดอกเบี้ยจะทำได้ คือเมื่อเห็นว่าเศรษฐกิจหดตัวมากกว่า และมีปัญหาส่วนใหญ่จากแง่ของดีมานด์ หรือภาวะการเงินตึงตัวอย่างชัดเจนมากกว่าปัญหาพื้นฐานเศรษฐกิจ ซึ่งหากในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจเติบโตได้ต่ำกว่าที่ประเมินไว้ กนง. ก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินให้มีความเหมาะสม

กสิกรคาด กนง. จะลดดอกเบี้ยในไตรมาส 3

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ตั้งแต่ไตรมาส 3/2568 เป็นต้นไป จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะชะลอลงอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนการส่งออกคาดว่าจะหดตัวลึกในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากมีการเร่งส่งออกสูงในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับแรงขับเคลื่อนหลักทั้งภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศมีแนวโน้มอ่อนแรงลงต่อเนื่อง

แต่ถึงอย่างนั้น วิจัยกสิกรฯ กลับมองว่าการปรับลดดอกเบี้ยไม่ใช่เครื่องมือหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แค่ช่วยประคองเศรษฐกิจไทยได้บางส่วน

นโยบายการเงินต้องใช้ระยะเวลาในการส่งผ่าน

SCB EIC ไทยพาณิชย์ มองว่านโยบายการเงินมีโอกาสผ่อนคลายเพิ่มเติม เพราะอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบอดีต ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำลงกว่าระดับศักยภาพมาก อีกทั้ง กนง. ประเมินด้วยว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะชะลอลงกว่าปีนี้ และนโยบายการเงินต้องใช้ระยะเวลาในการส่งผ่าน ดังนั้น กนง. จึงอาจพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในปีนี้ เพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะชะลอลงในปีหน้า ในระยะข้างหน้า อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะยังเป็นขาลง เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ และเอื้อต่อกระบวนการลดระดับหนี้ (Deleveraging) ของครัวเรือน

อีกทั้งยังมีความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน-สหรัฐฯ อาจสร้างความไม่แน่นอนต่อทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยในระยะสั้น และหากสถานการณ์รุนแรง จนทำให้ราคาโภคภัณฑ์สูงขึ้น เงินเฟ้อไทยเร่งตัวสูงเกินกรอบเป้าหมาย จะชะลอการตัดสินใจลดดอกเบี้ยของ กนง. ได้

ดังนั้น SCB EIC จึงประเมินว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในปีนี้สู่ระดับ 1.25% ภายในสิ้นปี 68 เพื่อให้นโยบายการเงินผ่อนคลายขึ้น สอดรับกับเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลงตั้งแต่ครึ่งหลังของปี และต่อเนื่องไปจนถึงปี 69

และที่สำคัญคือเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นทั้งจากสงครามการค้า ความเปราะบางของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองในระยะข้างหน้าด้วยสารพัดปัจจัยที่รุมทึ้งรุมเร้าเข้ามาไม่หยุด จึงเป็นที่มาว่าทำไม กนง. ถึงยังคงดอกเบี้ยไว้ก่อน

อย่างไรก็ตาม บรรดากูรู นักวิเคราะห์ นักเศรษฐศาสตร์ ต่างก็คาดการณ์กันว่าในการประชุม กนง. ในครั้งหน้า หรือช่วงที่เหลือของปีนี้ ก็มีโอกาสที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยลงได้ เมื่อมีความชัดเจนในประเด็นเรื่องภาษีทรัมป์ การดำเนินนโยบายเบิกจ่ายงบฯ กระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ก็มีส่วนสำคัญในการพิจารณาแน่นอน

หลายฝ่ายอาจจะเชียร์ให้ กนง. ลดดอกเบี้ยเถอะ เพราะตอนนี้ทุกคนคงจะบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าจะตายอยู่แล้วครับท่าน… แต่หากมองอีกมุม การที่ กนง. ยังไม่รีบร้อนลดดอกเบี้ย ก็เพื่อหวังให้เป็นเครื่องมือด่านสุดท้าย หรือกองหลังของทีมในการสกัดรอยรั่วไม่ให้ถูกทำลายประตูเศรษฐกิจ พาพวกเรารอดพ้นจากวิกฤตนี้ไปก็เป็นได้…

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles