สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมาเปิดเผยเงินเฟ้อเดือน พ.ค. 68 นี้ไปแล้ว ซึ่งก็พบว่าตัวเลขเท่ากับ 100.40 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ 0.57% เป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากเดือน เม.ย. 68 ที่ผ่านมา
อีกทั้งกระทรวงฯ ยังได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2568 ใหม่ จากเดิมอยู่ที่ระหว่าง 0.3–1.3% ค่ากลาง 0.8% เป็นระหว่าง 0.0–1.0% ค่ากลาง 0.5% โดยมีสมมติฐานจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ 1.3-2.3% น้ำมันดิบดูไบ 63-73 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 33.5-34.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญก็จะมีการทบทวนอีกครั้ง
ซึ่งเวลาเงินเฟ้อต่ำ หลายคนมักจะกังวลว่าต่อไปจะเกิดเป็นภาวะเงินฝืดหรือไม่? เพราะการปรับขึ้นลงของเงินเฟ้อ สะท้อนถึงภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปในประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นได้จาก 2 สาเหตุหลัก ก็คือ 1.ความต้องการซื้อสินค้าและบริการของประชาชนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่สินค้าและบริการ ณ ตอนนั้นอาจมีไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ขายปรับราคาสินค้าและบริการให้สูงขึ้น และ 2.ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น เช่นวัตถุดิบที่ใช้ผลิตสินค้ามีราคาสูงขึ้น และผู้ผลิตไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ จึงต้องปรับราคาสินค้าและบริการให้สูงขึ้นตาม
ส่วนผลกระทบสำหรับคนทั่วไปหรือผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็คือราคาสินค้าแพงขึ้น เงินมีค่าลดลง ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นในอดีตก๋วยเตี๋ยว 1 ชามเราเคยจ่ายในราคา 30 บาท แต่ในวันนี้ก๋วยเตี๋ยวแบบเดิมราคาขึ้นไปเป็น 50–60 บาท จะเห็นว่าเงิน 30 บาทในวันนี้มีค่าน้อยกว่าเงิน 30 บาทในอดีต นั่นเอง
<เงินเฟ้อต่ำ ดีหรือไม่ดี?>
พออ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจรู้สึกว่าถ้าเงินเฟ้อต่ำ ก็ไม่ดีน่ะสิ แต่จริงๆ แล้วการที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน จะเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจเพราะจะเอื้อต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ kkpfg.com ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ระบุไว้ว่าดัชนีที่ใช้ในการชี้วัดระดับเงินเฟ้อคือดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ Consumer Price Index (CPI) เป็นตัวเลขทางสถิติที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ครัวเรือนหรือผู้บริโภคซื้อหามาบริโภคเป็นประจำเป็นราคาในปัจจุบันเปรียบเทียบกับราคาในปีที่กำหนดไว้เป็นปีฐาน การที่ภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ในทางกลับกันบางช่วงเวลาดัชนี CPI ก็อาจติดลบได้ ซึ่งในภาวะเงินเฟ้อติดลบนี้ “หากเกิดขึ้นติดต่อกันยาวนาน อาจทำให้เกิดภาวะเงินฝืดได้” ซึ่งเป็นภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปลดต่ำลงเรื่อยๆ
คนทั่วไปอาจมองว่าการที่สินค้าราคาลดลงเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้บริโภค แต่ถ้าหากเงินเฟ้อต่ำลงติดต่อกันมากจนเกินไป จนทำให้ราคาสินค้าถูกลง แต่ก็ทำให้เกิดภาวะเงินฝืด ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลงด้วย หมายถึงสินค้าถูกลง รายได้ของผู้ผลิตมีแนวโน้มลดลงไปด้วย ทำให้ผู้ผลิตขาดแรงจูงใจที่จะผลิตสินค้าและบริการ จนอาจต้องลดการผลิตไปจนถึงลดการจ้างงาน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและการใช้จ่าย
นอกจากนี้ บทความ เงินเฟ้อต่ำ น่ากังวลหรือไม่? ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) (เผยแพร่ 3 มี.ค. 68) ยังระบุข้อมูลด้วยว่าอีกหนึ่งสาเหตุที่เงินเฟ้อไทยต่ำที่ผู้คนมักไม่นึกถึงมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างของไทย โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่เล็กและเปิด เงินเฟ้อจึงต่ำจากการแข่งขันด้านราคาจากสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ เงินเฟ้อไทยที่ต่ำส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลาดแรงงานไทยมีความยืดหยุ่นสูง หากย้อนกลับไปในปี 2566 ช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นจากวิกฤตโควิด–19 สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เงินเฟ้อไทยปรับลงเร็วกว่าต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว คือแรงกดดันด้านค่าจ้างแรงงานที่มีน้อยกว่า เนื่องจากมีการโยกย้ายแรงงานระหว่างภาคเศรษฐกิจต่างๆ และอุปทานจากแรงงานต่างด้าว ทำให้ตลาดแรงงานไทยไม่ได้ตึงตัวอย่างในหลายประเทศ จนทำให้ค่าจ้างแรงงานเร่งสูงขึ้น กลายเป็นต้นทุนที่ผู้ประกอบการต้องแบกรับหรือส่งผ่านไปยังผู้บริโภค
<พาณิชย์ ยันยังไม่มีสัญญาณเงินฝืด>
คุณพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. บอกว่าเงินเฟ้อที่ลดลง 2 เดือนติดต่อกัน ยังไม่พบว่ามีสัญญาณเงินฝืด เพราะสินค้ายังมีการขึ้นลงปกติ ส่วนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน มิ.ย. 68 คาดว่าจะพลิกกลับมาเป็นบวกได้ แต่ยังอยู่ในระดับต่ำ 0.2–0.4% เพราะปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นไม่มาก คือราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกต่ำกว่าปีก่อนหน้า ส่งผลให้ราคาแก๊สโซฮอล์ภายในประเทศปรับตัวลดลง ภาครัฐลดภาระค่าครองชีพ โดยปรับลดค่า Ft งวดเดือน พ.ค. – ส.ค. 68 ลง 17 สตางค์ ทำให้อัตราค่าไฟฟ้าลดลงเหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย
ขณะเดียวกันฐานของราคาผักสดปีก่อนหน้าอยู่ระดับสูง แต่ปีนี้อากาศเอื้ออำนวย ผลผลิตเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น และมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่ก็ต้องจับตาราคาสินค้าเกษตรบางชนิดและเครื่องประกอบอาหาร ที่มีแนวโน้มสูงกว่าปีก่อนหน้า เช่น มะพร้าว มะขามเปียก กาแฟ เกลือป่น น้ำมันพืช และเนื้อสุกร เป็นต้น จะเป็นตัวกดดันเงินเฟ้อในอนาคตได้
<นักวิเคราะห์หั่นเป้าเงินเฟ้อทั้งปีลง>
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่าปัจจัยหลักที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ค. ยังหดตัวต่อเนื่อง แต่ในเดือน มิ.ย. 68 คาดว่าเงินเฟ้อไทยมีโอกาสพลิกกลับมาเป็นบวกจากผลของปัจจัยฐานจากราคาผักและผลไม้ที่ลดลง ขณะที่ทั้งไตรมาส 2/2568 คาดว่าเงินเฟ้อไทยเฉลี่ยจะอยู่ที่ –0.2% แต่ยังไม่เข้าข่ายภาวะเงินฝืด เนื่องจากเงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวก และราคาสินค้าและบริการยังไม่ลดลงเป็นวงกว้าง (Broad-based)
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับลดประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปของไทยสู่ระดับ 0.3% ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 0.5% แม้ในครึ่งหลังของปี 2568 อัตราเงินเฟ้อไทยอาจกลับมาอยู่ระดับเป็นบวกเล็กน้อยภายใต้สมมติฐาน ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศมีแนวโน้มปรับลดลง ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2568 คาดว่าจะปรับลงมาอยู่ที่ 66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลจาก 68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลที่คาดไว้ก่อนหน้า ขณะที่ค่าไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะอยู่ต่ำกว่าระดับ 4.00 บาทต่อหน่วยไปตลอดปีนี้ จากมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ รวมถึงราคาสินค้าเกษตรอาจปรับลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำที่ใช้เพาะปลูกในปีนี้มีมากกว่าปีก่อนหน้า จึงหนุนผลผลิตให้เพิ่มขึ้น และบางส่วนมีการนำเข้าผักและผลไม้สดราคาถูกจากจีนและเวียดนาม โดยสินค้าที่ราคามีแนวโน้มปรับลดลง อาทิ พริกสด ทุเรียน มังคุด และภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลง ท่ามกลางมาตรการกระตุ้นการบริโภคจากภาครัฐและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามายังประเทศน้อยกว่าที่คาด ส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง
<เงินไม่ฝืดแต่ต้องไม่ประมาท>
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ยังระบุด้วยว่าแม้ประเทศไทยมีอัตราเงินเฟ้อติดลบในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่ได้แปลว่าประเทศกำลังเข้าสู่ภาวะเงินฝืด เพราะภาวะเงินฝืดต้องเข้าเงื่อนไขปัจจัยหลายอย่าง เช่น อัตราเงินเฟ้อติดลบเป็นเวลานานพอสมควรและกระจายในหลายๆ หมวดสินค้าและบริการ การคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวต่ำกว่าเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจติดลบ และอัตราการว่างงานมีแนวโน้มสูงขึ้น
แม้ว่าไทยยังไม่ถึงขั้นเข้าภาวะเงินฝืด แต่ ธปท. เองก็คาดว่าเงินเฟ้อไทยมีความเสี่ยงที่จะอยู่ในระดับต่ำไปอีกสักระยะ จากทั้งความพยายามของภาครัฐที่จะลดค่าไฟฟ้า รวมถึงนโยบายขึ้นกำแพงภาษีของทรัมป์ที่อาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวจนกดดันให้ราคาน้ำมันโลกอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นจึงไม่ควรประมาท เพราะหากภาวะเงินเฟ้อติดลบยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ผู้บริโภคอาจลดหรือชะลอการจับจ่ายใช้สอยลง ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตและอาจทำให้เกิดการลดการจ้างงานตามมา และผลกระทบก็จะส่งมาถึงประชาชนผู้บริโภคที่ต้องกินต้องใช้ในที่สุด…