เศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา นับว่หนักหนาสาหัสจากที่ลากซึ่มยาวมาต่อเนื่องตั้งแต่วิกฤติโควิด–19 ทำท่าจะได้ฟื้น ลืมตาอ้าปากกันได้บ้างก็มาช่วงปีนี้ แต่ก็อย่างที่ทุกคนเห็น สารพัดเรื่องราวที่ถาโถมมาอย่างไม่พัก โดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้าที่สหรัฐได้ประกาสขึ้นภาษีแบบไม่เกรงใจชาติใด ทำเอาทั่วโลกปั่นป่วน ตลาดหุ้น ทองคำ ตลาดเงินพากันโดนเอฟเฟกต์ “ทรัมป์” ไปตามๆ กัน
ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับไทยมากที่สุดคงหนีไม่พ้นส่งออก ที่เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญที่จะช่วยดันเศรษฐกิจให้ฟื้นในปีนี้ ท่าจะต้องมีสะดุดเพราะกำแพงภาษีของทรัมป์ ดังนั้นเครื่องยนต์สำคัญอีกตัวนั่นคือ “การท่องเที่ยว” ที่นับเป็นฟันเฟืองหลักในการเร่งเครื่องยนต์เศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้
แต่เมื่อไม่นานมานี้การท่องเที่ยวบ้านเราก็กลับถูกลดทอนความเชื่อมั่นลงจากประเด็น “จีนเทา” “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่ลักพาตัวนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย จนทำให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัย ทำให้นักท่องเที่ยวจากฝั่งบ้านจีนลดน้อยถอยลง เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ยังจะมาเจอเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ที่ทำเอานักท่องเที่ยวยกเลิกจองห้องพักไปกว่าพันห้อง
<ตกใจแผ่นดินไหว ยอดจองห้องพักวูบทันที>
สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ระบุว่าจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา นอกจากจะทำให้คนไทยตกใจแล้ว ยังกระทบต่อความเชื่อมั่น ทำให้นักท่องเที่ยวยกเลิกการเดินทางเข้าไทย ซ้ำเติมการท่องเที่ยว ซึ่งในช่วง 2 วันหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว พบว่ามีการยกเลิกห้องพักไปแล้วประมาณ 1,000 กว่าห้อง
ส่วนสถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติขาเข้าเดินทางผ่านบริษัททัวร์ช่วงหลังแผ่นดินไหว พบว่าจากปกติมีจำนวน 8,000 คนต่อวัน แต่หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวหายไป 30% เหลือ 6,000 คนต่อวัน โดยคาดวว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะหายไป เฉพาะนักท่องเที่ยวจีนประเมินว่าหายไปแน่นอน 20% เทียบกับสงกรานต์ปีที่แล้ว
<เทศกาลสงกรานต์ เครื่องมือปั่นยอดท่องเที่ยวชั้นดี>
ไฮไลต์หลักของการท่องเที่ยวในบ้านเราในช่วงหน้าร้อน หรือจะเรียกว่าเป็นไฮซีซันนี้ คงหนีไม่พ้น “เทศกาลสงกรานต์” ที่ถือเป็นประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของไทย และเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติ ที่ถ้าจะมาเที่ยวไทยเดือนเมษายน ต้องห้ามพลาดประเพณีสาดน้ำสงกรานต์ในบ้านเรา และยังเป็นโอกาสทองในการกระตุ้นบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย และรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอย่างดี
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์การท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์ปี 2568 ว่าจะสร้างรายได้กว่า 26,500 ล้านบาท เติบโต 8 % จากปีที่แล้ว โดยประเมินว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้น 470,000 คนและรายได้เพิ่มกว่า 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเข้าไทย 5 อันดับแรกช่วงสงกรานต์ คือ มาเลเซีย จีน อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้
ส่วนตัวเลขไทยเที่ยวไทยช่วงสงกรานต์ปีนี้ ททท. ประเมินว่าจะเพิ่มขึ้น 7% ที่กว่า 4 ล้านคน คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นร่วมๆ 20,000 ล้านบาท
ข้อมูลล่าสุดจาก ทราเวลโลก้า (Traveloka) ระบุว่ากรุงเทพฯ ยังคงครองตำแหน่งจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่สุดตลอดกาล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นของกรุงเทพมหานครในฐานะศูนย์กลางการเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ ขณะเดียวกัน กระแสความสนใจในจุดหมายปลายทางใหม่ๆ เช่น ชุมพร นครพนม และเลย สะท้อนถึงพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยหลายคนเริ่มแสวงหาประสบการณ์ที่หลากหลายและมีความหมายมากยิ่งขึ้นในช่วงวันหยุดเทศกาลนี้
<ททท. จัดใหญ่ “มหาสงกรานต์ 2568” ปักหมุดสนามหลวงสุดอลังฯ>
ททท. เดินหน้าจัดใหญ่งานเทศกาลสงกรานต์ เพื่อสร้างบรรยากาศในการท่องเที่ยวภายใต้การจัดงาน “เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์” เปิดลายแทงสงกรานต์ทั่วไทย ที่จัดโดยทั้งภาครัฐและเอกชนในแต่ละพื้นที่ เฉพาะของ ททท. จัดงานสงกรานต์ใหญ่อยู่ใน 2 พื้นที่ คือ “มหาสงกรานต์ 2568” ที่สนามหลวง ใช้งบกลางจากรัฐบาล 148 ล้านบาท และการจัดงาน “มหาสงกรานต์สองฝั่งโขง” ที่ จ.หนองคาย ซึ่งจัดเป็นครั้งแรก
นอกจากนี้ยังจัดทำประชาสัมพันธ์ “ลายแทงสงกรานต์ทั่วไทย” ซึ่งรวบรวมข้อมูลการจัดกิจกรรมสงกรานต์ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Grand Festivity ที่มุ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้เป็นหมุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และยังมีกิจกรรม “ลายแทงสงกรานต์ สาดสุขทั่วไทย” เพื่อเชิญชวนนักท่องเที่ยวเข้าร่วมสนุกกับเทศกาลสงกรานต์ในทุกภูมิภาค
พร้อมส่งเสริมการแต่งกายด้วยกางเกงช้าง หรือกางเกงอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมต้องถ่ายรูปบรรยากาศงานสงกรานต์ โพสต์ลงโซเชียล มีเดีย อาทิ Facebook, Instagram, X, และ TikTok พร้อมเช็กอินสถานที่และบอกเล่าเรื่องราวความประทับใจจากการร่วมงานเทศกาลสงกรานต์ ติดแฮทแทก, ลายแทงสงกรานต์ทั่วไทย และ, Mahasongkran2025 พร้อมตั้งโพสต์เป็นสาธารณะ และบันทึกหน้าจอ (Capture) นำไปคอมเมนต์ใต้โพสต์กิจกรรม เพื่อลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษ เป็นการโปรโมทเที่ยวไทยไปพร้อมๆ กับการจัดอีเวนต์ทั่วประเทศด้วย
<การเดินทางคาดจะคึกคัก>
ปริมาณเที่ยวบินในช่วงสงกรานต์ปีนี้ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย (บวท.) คาดการณ์ว่าปริมาณเที่ยวบินระหว่างวันที่ 11–17 เมษายน 2568 (7วัน) จะมีเที่ยวบินรวม 18,530 เที่ยวบิน เฉลี่ย 2,647 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT คาดว่าในช่วงดังกล่าวจะมีผู้โดยสารใช้บริการมากกว่า 3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 20.5 % เป็นต้น
<นายกฯ หวังรายได้เที่ยวไทยโต 2 ล้านล้านบาท>
คุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในการประชุมติดตามสถานการณ์การท่องเที่ยวไทย ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหนวยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าประเทศไทยหลังผ่านโควิด–19 จะเห็นได้ว่ายอดตัวเลขภาคการท่องเที่ยวลดลง รัฐบาลได้พยายามดำเนินการเร่งขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยว แต่ประสบปัญหาเหตุการณ์แผ่นดินไหว จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันโปรโมท สร้างความมั่นใจต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ ร่วมกันสร้างการรับรู้ว่าประเทศไทยไม่ได้มีส่วนเสียหายในจุดสำคัญต่างๆ โดยกรุงเทพฯ ยังมีความปลอดภัย ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง สิ่งสำคัญคือการทำให้ตัวเลขภาคการท่องเที่ยวกลับมาเพิ่มขึ้น
นอกจากจำนวนนักท่องเที่ยวแล้วต้องดูในเรื่องรายได้จากการท่องเที่ยว (spending purchase) จะต้องทำให้นักท่องเที่ยวเลือกมาท่องเที่ยวในประเทศไทย อาทิ มาเพื่อรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นการมาพักผ่อนระยะยาว มาเพื่ออาศัยอยู่ช่วงเกษียณ หรือการเข้ามาเพื่อทำงาน โดยหวังว่าจะกระตุ้นรายได้จากการท่องเที่ยวให้เทียบเท่ากับรายได้การท่องเที่ยวในปี 2562 ที่สร้างรายได้จำนวนเกือบ 2 ล้านล้านบาท
<นายกฯ ยังไม่ค่อยปลื้มตัวเลขนักท่องเที่ยว>
นายกฯ แพทองธาร ยังโพสต์ข้อความลงในโซเชียลมีเดียส่วนตัว ระบุถึงการประชุมด้านการท่องเที่ยวด้วยว่า
“เรายกให้ปีนี้ต้องเป็นปีแห่งการท่องเที่ยว Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 เป้าหมายคือนักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องกลับมาเกือบเท่าก่อนสถานการณ์โควิด หรือต้องแตะ 40 ล้านคน ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายเรา ไม่เพียงจำนวนนักท่องเที่ยว แต่คือรายจ่ายต่อหัวและจำนวนวันที่อยู่ในประเทศ ต้องมากขึ้นด้วย
แต่ตัวเลขในช่วงที่ผ่านมา ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ การประชุมวันนี้ (11 เม.ย.) จึงอยากมาหารือร่วมกับทุกท่าน เพื่อหามาตรการใหม่ๆ การท่องเที่ยวแบบเดิมคงทำไม่ได้อีกต่อไป แต่เราต้องทำการท่องเที่ยวแบบมีวัตถุประสงค์ชัดเจน สร้างจุดมุ่งหมายใหม่ให้การท่องเที่ยวไทย เช่น การมาเพื่อรักษาพยาบาล, มาเพื่อพักผ่อนระยะยาว, มาเพื่ออยู่อาศัยช่วงวัยเกษียณ, มาเพื่อทำงานของกลุ่ม Digital Nomad เป็นต้น
นี่จะเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายระยะยาวและทำให้การมาไทยนานขึ้น ตลอดจนมาตรการเร่งด่วนระยะสั้น เช่น มาตรการท่องเที่ยวภายในประเทศในเมืองหลักและเมืองรอง เพื่อทำให้เม็ดเงินดันลงไปสู่เศรษฐกิจฐานรากมากขึ้น”
<เบนเข็มเจาะกลุ่มลักชัวรีกระเป๋าหนักให้ได้เพิ่ม>
กลุ่มนักท่องเที่ยว luxury เป็นกลุ่มกระเป๋าหนัก ยอมจ่ายเพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด ดังนั้นเป็นกลุ่มที่รัฐบาลมุ่งเป้า เน้นเป็นพิเศษ โดยจะต้องเพิ่มการอำนวยความสะดวกมากขึ้น การบริการที่เพิ่มขึ้นอย่างครบวงจร เพื่อรองรับภาคการท่องเที่ยว โดยนายกฯ ให้การบ้านหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันวางแผนเพิ่มจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยว หลังจากที่ยอดตัวเลขนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนลดลง ว่าจะสามารถทำให้ยอดนักท่องเที่ยวกลับมาได้อย่างไร
เทศกาลสงกรานต์นี้ถ้าเปรียบเป็นสมาร์ทโฟน ก็จะต้องเป็นรุ่นเรือธง ที่ดึงดูดความน่าสนใจได้ดีกว่าเทศกาลอื่นๆ ในไทยเลยก็ว่าได้ จึงอาจจะเป็นความหวังเดียว หรือช่วงที่ดีที่สุดของปีนี้ที่จะโกยเม็ดเงินท่องเที่ยวได้มากที่สุด ช่วยพยุงเศรษฐกิจ ต่อลมหายใจให้กับธุรกิจ พ่อค้าแม่ขาย ให้ได้ไปต่อ ถึงจะยังต้องเผชิญกับอีกหลายความเสี่ยงในอนาคตก็ตาม…