ปรากฏการณ์ภาษีทรัมป์รันแทบจะทุกวงการเลยก็ว่าได้ นอกเหนือจากจะสั่นสะเทือนตลาดส่งออกแล้ว ตลาดทุน ตลาดเงิน โดยเฉพาะตลาดหุ้นบ้านเราก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
โดยในช่วงวันแรกที่มีข่าวไทยปิดดีลภาษีกับสหรัฐสำเร็จ (1 สิงหาคม 2568) โดยกำหนดอัตราภาษีนำเข้าให้กับไทยที่ 19% จากเดิมที่ประกาศไว้ 36% ก่อนการเจรจา ทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคัก ดีดตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พลิกกลับมาพุ่งขึ้นเขียวสดใสในช่วงเช้าหลังจากรับข่าวดี บวกไปกว่า 10 จุด จากแรงซื้อในหุ้นใหญ่ ดันดัชนีออกมาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แม้จะมีแรงขายออกมาในช่วงเย็น จนทำให้ดัชนี SET Index หุ้นไทย ปิดในวันที่รับรู้ผลดีลภาษีสหรัฐพลิกกลับลงมาดิ่ง ที่ 1,218.33 จุด ลดลง 24.02 จุด ด้วย มูลค่าซื้อขาย 54,586.68 ล้านบาท จากแรง sell on fact หลังจากรับข่าวความชัดเจนภาษีสหรัฐ ใกล้เคียงภูมิภาคไร้เซอร์ไพรส์
อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีที่สหรัฐยกให้กับไทยใน 19% มีผลตั้งแต่ 7 สิงหาคม 2568 นั้น ก็ทำให้ตลาดหุ้นไทยแกว่งไม่น้อย และมีแรงขายทำกำไรออกมาเรื่อยๆ ทำให้ภาพของตลาดหุ้นไทยวันแรกของการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ กระดานหุ้นออกมาเป็นสีแดงแทนสีเขียว ก่อนที่จะปิดบวกขึ้นมาได้เล็กน้อยจากแรงทำกำไรที่ 1,265.15 จุด เพิ่มขึ้น 0.68 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 60,459.25 ล้านบาท
และล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2568 หุ้นไทยปิดกลัหัวลงที่ -6.08 จุด หรือ มูลค่าซื้อขาย 51,232.32 ล้านบาท เป็นการปรับตัวลงใกล้เคียงกับภูมิภาคจากฟันด์โฟลว์ต่างชาติที่เป็นแรงหนุนสำคัญนั้นเริ่มชะลอตัว หลัง valuation หุ้นไทยแพงขึ้น ทำให้มีการขายทำกำไรออกมาบ้าง รวมทั้งตลาดได้รับรู้ข่าวดีไปหมดแล้ว เช่น เรื่องการเจรจาการค้าสหรัฐฯ ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานในบ้านยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งเศรษฐกิจที่คาดว่าจะชะลอตัว ทั้งในปีนี้และปีหน้า และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2/68 ที่ออกมาไม่ค่อยดีนัก
อย่างไรก็ตามคุณอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) บอกว่ามุมมองตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ดีขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนและการกลับเข้ามาซื้อขายของหุ้นบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) กว่า 3 แสนล้านบาท และทำให้ตลาดหุ้นไทยมีขนาดใหญ่ขึ้น
ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องติดตามคือการปรับน้ำหนักการลงทุน (รีบาลานซ์) ในดัชนี MSCI ซึ่งมีผลต่อตลาดหุ้นไทย หลังความกังวลเรื่องภาษีสหรัฐ การบังคับใช้กฎหมายชัดเจนขึ้น เนื่องจากดัชนี MSCI จะมีผลต่อการไหลเข้ามาลงทุนของกองทุนต่างชาติ โดยเฉพาะกองทุนประเภท Passive ที่กว่า 70% ของกองทุนจะดูน้ำหนักจาก MSCI ในการตัดสินใจลงทุน โดยจากเดิมน้ำหนักหุ้นไทยใน MSCI จะอยู่ที่ 2% แต่ขณะนี้ลงมาเหลือ 1.4% ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มน้ำหนักอินเดียเข้าสู่การคำนวณ แต่อย่างไรก็ดีหลังจากนี้คงต้องติดตามดูเพราะประเทศอินเดีย ถูกภาษีตอบโต้จากสหรัฐสูงถึง 50%
และในปลายเดือนสิงหาคมนี้ ตลาดหลักทรัพย์เตรียมจัดงานไทยแลนด์โฟกัส ซึ่งจะนำปัจจัยบวกและพัฒนาการที่ดี ทั้งเรื่องเศรษฐกิจไทยที่ถูกปรับเพิ่มคาดการณ์ขยายตัว หลังไทยบรรลุข้อตกลงภาษีสหรัฐ 19% ซึ่งทำให้ไทยยังแข่งขันได้ รวมถึงยังมีความคืบหน้าในคดีหุ้น MORE และโครงการ Jump+อีกด้วย
ขณะที่ภาพรวมหุ้นไทยกรกฎาคม 2568 คุณศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยข้อมูลว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค โดย SET Index ปิดที่ 1,242.35 จุด ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 14% ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึง 31 กรกฎาคม 2568 SET Index ปรับลดลง 11.3% ขณะเดียวกันในเดือนกรกฎาคม ยังเป็นเดือนที่ต่างชาติมีการซื้อสุทธิหุ้นไทยถึง 16,121 ล้านบาท หลังความชัดเจนภาษีสหรัฐที่ 19% และมีการปรับเพิ่มเป้า GDP ไทยเป็น 2.2% จากเดิม 2.1%
ส่วนการอ่อนค่าของดัชนีดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม 2568 เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ดึงเงินลงทุนกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะเอเชีย ซึ่งเริ่มได้รับการจัดสรรพอร์ตใหม่จากกองทุนต่างชาติ ขณะที่ Valuation ของตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจ และแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทมักจะช่วยให้มีเงินทุนไหลเข้า และ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยผู้ลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 14 วัน จาก 21 วันทำการในเดือนกรกฎาคม นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ 16,121 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกลับมาซื้อสุทธิเดือนแรกนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2567
อย่างไรก็ตาม สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทย โดยอยู่บนสมมติฐานที่ว่าเศรษฐกิจยังได้แรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะอยู่ที่ 34.5 ล้านคน ขณะที่การส่งออกสินค้าคาดขยายตัว 5.5% ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดไว้ที่ 2.3% สะท้อนผลของการเร่งส่งออกในช่วงครึ่งปีแรก เพื่อบริหารความเสี่ยงจากสงครามการค้า
แต่อย่างไรก็ดีคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ FOMC ของสหรัฐมีมติอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25% – 4.50% เป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกัน โดยถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ยังสะท้อนความไม่แน่นอนสูงเกี่ยวกับนโยบายทางภาษีที่อาจจะกระทบทั้งอัตราเงินเฟ้อและตลาดแรงงานของสหรัฐฯช ส่งผลให้การดำเนินนโยบายทางการเงินจะเป็นไปอย่างระมัดระวัง และยังมีปัจจัยเสี่ยงจากความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา เป็นต้น
SCB WEALTH ของธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่าการประกาศภาษีใหม่ที่ชัดเจนหนุนให้บรรยากาศเศรษฐกิจโลกผ่อนคลายขึ้น และช่วยให้มุมมองเศรษฐกิจไทยปรับดีขึ้นบ้าง เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจไทย ในกลุ่มสินค้าที่เคยกังวลว่าจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐ ให้ต้องเร่งปรับตัวเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อแก้ปัญหาสินค้าสวมสิทธิไม่ให้โดนภาษีสหรัฐสูงกว่าอัตราปกติ รวมทั้งยังเป็นโอกาสของกลุ่มสินค้าที่ไทยมีจุดแข็งในตัว และมีความสามารถในการแข่งขันสูงอยู่แล้ว เช่น อาหารแปรรูป กลุ่มเวลเนส และบรรจุภัณฑ์
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) มองว่าภาษีชัดเจนนั้นดีต่อหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Selective ที่ปรับตัวได้ดีกับอัตราภาษี โดยเฉพาะผู้เลี้ยงสัตว์ โรงพยาบาล โรงไฟฟ้า และนิคมอุตสาหกรรม
โดยภาษีใหม่ที่ประกาศออกมามีความชัดเจน โดยไทยถูกคิดในอัตราที่ไม่ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนและดีกว่าเวียดนามที่ถูกคิด 20% จึงถือเป็นโอกาสสำหรับเศรษฐกิจไทย ซึ่ง InnovestX ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 1.8% ดีขึ้นกว่าประมาณการเดิม จากสัญญาณการเจรจาการค้าที่ดีขึ้น เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกที่ดีกว่าคาด และการเมืองระหว่างประเทศที่แม้จะยังไม่แน่นอนแต่ภาพรวมเหตุการณ์คงไม่ลุกลามบานปลายแล้ว สำหรับผลกระทบจากภาษีใหม่นั้น เรามองว่าการส่งออกไปยังสหรัฐจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะมีต้นทุนส่วนหนึ่งถูกส่งผ่านไปที่ผู้บริโภค แต่บางส่วนจะถูกส่งผ่านไปที่ผู้ขนส่ง และผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนเองบางส่วนด้วย ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไร ขณะที่กำลังซื้อในสหรัฐมีแนวโน้มลดลง อาจส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ผู้ผลิตอาหารสัตว์ อาหารทะเลแช่แข็ง และยา อาจได้รับผลกระทบจากการเปิดให้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนค่อนข้างดีในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดย SET Index ปรับเพิ่ม 14% ซึ่งสะท้อนพัฒนาการของการเจรจาการค้าไประดับหนึ่งแล้ว นอกจากนั้นตลาดหุ้นไทยยังได้แรงหนุนจากกระแสเงินทุนต่างชาติไหลกลับมาลงทุนมากขึ้น หลังจากไหลออกมากในช่วงครึ่งปีแรก ดังนั้นอาจระมัดระวังแรงขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น สำหรับกลยุทธ์การลงทุนต้องเน้นคัดเลือกหลักทรัพย์ (Selective) มากขึ้น ในส่วนของ InnovestX ประเมินปัจจัยพื้นฐานของดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 1,250 จุด อย่างไรก็ตาม หากกระแสเงินลงทุนยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง SET Index อาจมี Upside ให้กลับไปซื้อขายในระดับ PER ในอดีตที่ 14-16 เท่า หรือคิดเป็นระดับดัชนีที่ 1,242-1,419 จุด
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยพลิกกลับมาดูดีขึ้น ถ้าจะสังเกตช่วงหลายๆ วันที่ผ่านมาดัชนียังไม่หลุด 1,200 จุด ซึ่งก็ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี แต่ถึงอย่างนั้น ท่ามกลางทิศทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป สัญญาณบวกที่เด่นชัดที่สุดประการหนึ่งคือการกลับมาของกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ เป็นการยืนยันความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อศักยภาพของประเทศไทย แต่ถึงอย่างนั้น ปัจจัยเสี่ยงล้วนเกิดขึ้นได้เสมอ แม้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจโดดเด่นขึ้นมาในสายตาของนักลงทุนสถาบันต่างชาติ ปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนรอบนี้คือการที่นักลงทุนต่างชาติได้ลดน้ำหนักการลงทุน (Under-owned) ในหุ้นไทยไปมากตั้งแต่ช่วงต้นปี เมื่อภาพรวมเศรษฐกิจและปัจจัยเฉพาะตัวของประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับระดับมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นไทยที่ยังคงจูงใจ จึงเกิดการดึงสถานะการลงทุนกลับเข้ามา หรือที่ภาษนักวิเคราะห์ เรียกว่า ‘เซลล์ออนแฟคท์’ (Sell on Fact) ซึ่งเป็นกลไกปกติที่เกิดขึ้นในตลาดการเงิน
การที่ไทยปิดดีลภาษีสหรัฐได้ แม้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญต่อทิศทางเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยลดปัจจัยกดดันออกไปได้และ ส่งผลดีต่อการลงทุน แต่นักลงทุนต้องตระหนักด้วยว่าในระทางข้างหน้ายังคงมีความท้าทาย ความเสี่ยงที่รอยู่อีกเพียบ ทั้งภายนอกและภายในที่เราอาจจะไม่สามารถอาศัย หมอดู สื่อวิญญาณ หรือหมอพรายกระซิบ มาชี้นำได้ ความพร้อมรับมือกับความผันผวน เพราะขึ้นชื่อว่าการลงทุน ยังสามารถใช้ประโยคอมตะในหนังสือชี้ชวนได้ นั่นก็คือ “การลงทุนมีความเสี่ยง” ควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนการลงทุน ถึงแม้ศึกษาแล้ว ต้องยอมรับและประมินความสามารถของคนเองเสมอ เพราะความไม่แน่นอนย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดไปกับสนามของความเสี่ยงและการลงทุน…