สหรัฐเซอร์ไพรส์ ปิดดีลภาษีนำเข้าที่ 19% ปลดล็อกด่านแรก คลายกังวลเศรษฐกิจไทยได้หนึ่งเปราะ แต่ยังเสี่ยงอีกสารพัดปัจจัย เข็นต่อไปให้ถึงเป้าทั้งปี 2.2%

สหรัฐ เซอร์ไพรส์ ปิดดีล ภาษี นำเข้าที่ 19% ปลดล็อกด่านแรก คลายกังวลเศรษฐกิจไทยได้หนึ่งเปราะ แต่ยังเสี่ยงอีกสารพัดปัจจัย เข็นต่อไปให้ถึงเป้าทั้งปี 2.2%

ลุ้นกันมาหลายเดือนกับการเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งกำแพงให้ไทยไว้สูงถึง 36% เนื่องจากไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐมานาน ทรัมป์จึงล้มกระดาน ตั้งภาษีใหม่ ยึดนโยบายการค้าอเมริกาต้องมาก่อน (America First Trade Policy) ที่เน้นการให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับแรก โดยมักจะเกี่ยวข้องกับการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ การลดการขาดดุลการค้า และการเจรจาข้อตกลงการค้าที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ มากกว่า แต่ก็ได้เปิดโอกาสให้แต่ละชาติคู่ค้า ยื่นข้อเสนอเพื่อตกลงอัตราภาษีที่สมน้ำสมเนื้อกับผลได้ผลเสียของอเมริกา

ซึ่งที่ผ่านมาหลายฝ่ายต่างก็ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ โดยเฉพาะภาคส่งออก ภาคการผลิต ที่กังวลไม่น้อย ถ้าหากไทยถูกเก็บภาษีสูง เพราะนั่นคือมูลค่าการค้าที่จะหายไป ธุรกิจ อุตสาหกรรมอาจล้มหายตายจาก ด้วยภาววะต้นทุนที่อาจสูงขึ้น และการถล่มทลายของสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามายิ่งกว่าเดิม เพราะมาตรการภาษีของสหรัฐฯที่มีต่อจีนดูจะไม่ลดลาวาศอกมากนัก ซึ่งก็จะเป็นสาเหตุที่จีนต้องอาศัยประเทศทางผ่านในการส่งออกสินค้าไปยังประเทศอื่นๆ แทน และไทยก้เป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้น

<สหรัฐเซอร์ไพรส์ ลดเก็บภาษีจากเดิม 36% เหลือ 19%>

แต่ล่าสุดทางการสหรัฐก็ได้เซอร์ไพรส์ประกาศรายชื่อประเทศคู่ค้าที่ได้รับการพิจารณาอัตราภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs ที่ได้รับการทบทวนครั้งสุดท้าย และลงนามโดยประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลาศูนย์ 0.01 น. ของวันที่ 7 สิงหาคม 2025 ซึ่งสหรัฐเคาะภาษีไทยที่อัตรา 19% เช่นเดียวกับกัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ส่วนเวียดนามคู่แข่งสำคัญของไทยโดนเก็บที่ 20%

โดยรายชื่อประเทศ หรือเขตเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก ได้แก่
1.สปป.ลาว 40% 2.เมียนมา 40% 3.เวียดนาม 20% 4.ไต้หวัน 20% 5.ศรีลังกา 20% 6.ไทย 19% 7.กัมพูชา 19% 8.มาเลเซีย 19% 9.ฟิลิปปินส์ 19% 10.อินโดนีเซีย 19%11.นิวซีแลนด์ 15% และ12.เกาหลีใต้ 15%

ส่วนรายชื่อประเทศ หรือเขตเศรษฐกิจในยุโรปก็ได้แก่ 1.ตุรกี 15% 2.สวิสเซอร์แลนด์ 39%

ประเทศ หรือเขตเศรษฐกิจในแอฟริกา คือ แอฟริกาใต้ 39%

ประเทศ หรือเขตเศรษฐกิจในอเมริกาเหนือ ได้แก่ แคนาดา 35% ที่ปรับเพิ่มขึ้นอีก 10% จากเดิมที่ 25% และภาษีสวมสิทธิ์ส่งออกจากแคนาดาที่ 40%

ขณะที่ประเทศ หรือเขตเศรษฐกิจในอเมริกาใต้ ได้แก่ เวเนซุเอลา 15% และประเทศ หรือเขตเศรษฐกิจในตะวันออกกลาง คือ อิสราเอล 15%

สำหรับประเทศใดก็ตามที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีแนบท้าย จะมีอัตราภาษีต่างตอบแทนที่ระดับ 10% นอกจากนี้ ประเทศใดก็ตามที่สหรัฐอเมริกาได้ดุลการค้าเพียงเล็กน้อยจะถูกเก็บภาษีที่ 10% และสำหรับประเทศใดก็ตามที่ขาดดุลการค้าเพียงเล็กน้อยจะถูกเก็บอัตราภาษีที่ 15% สำหรับรายละเอียดข้อตกลงของแต่ละประเทศคู่ค้านั้น ทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาจะมีการประกาศในภายหลังอย่างสมบูรณ์

<รัฐบาลไทยยันเจรจาประเด็นการค้า ไม่มีเอี่ยวความมั่นคง>

จากประเด็นพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา จนลุกลามสู่เหตุปะทะกันของกองทัพทั้งสองประเทศ จนประธานาธิบดีทรัมป์ ถึงขึ้นเสนอเป็นตัวกลางในการขอให้ยุติความขัดแย้ง ซึ่งก็ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตและจับตาข้อเสนอในรอบสุดท้ายในการเจรจาภาษีว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับการยุติเหตุพิพาทหรือในประเด็นความมั่นคงรวมอยู่ด้วย

ซึ่งนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าไทยไม่ได้มีการยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคง หรือเรื่องสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติแต่อย่างใด ซึ่งการหารือแต่ละครั้ง ทีมไทยแลนด์มุ่งเน้นการเจรจาเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจและการค้าเป็นหลัก

ส่วนเรื่องการเปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐนั้น นายพิชัยยืนยันว่าประเทศไทยไม่ได้เปิดเสรีนำเข้าสินค้าให้สหรัฐในอัตราภาษี 0% ทุกรายการ ซึ่งสินค้าที่เปิดให้ส่วนใหญ่ ต่างมีการทำข้อตกลงทางการค้า (FTA) กับประเทศอื่นๆ ไว้อยู่ก่อนแล้ว

ขณะที่ความกังวลเรื่องการเปิดให้มีการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐนั้น ไม่ได้ยื่นข้อเสนอให้เปิดทั้งหมด แต่จะเป็นการทดลองตลาดเล็กน้อยเท่านั้น เช่น มีการบริโภคเนื้อหมูในประเทศ 100% ก็อาจจะเปิดให้มีการนำเข้าจากสหรัฐในสัดส่วนไม่ถึง 1% เท่านั้น และจะมีการออกหลักเกณฑ์เงื่อนไข เพื่อไม่ให้มีการนำเข้าได้ง่ายจนเกินไป

อย่างไรก็ดี จะมีการเร่งหารือในรายละเอียด เพื่อสรุปข้อตกลงทั้งหมดอีกครั้ง

<ปิดดีลภาษีสหรัฐ ช่วยให้แข่งขันได้>

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับมุมมองการส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 68 ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งคาดว่าจะหดตัวลดลงมาอยู่ที่ –7.4% และการส่งออกไทยทั้งปี 68 ปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3.4% เพิ่มขึ้นจากประมาณการก่อนหน้าที่ 1.5% ทั้งนี้ การส่งออกไทยในครึ่งปีหลังที่ยังหดตัว เป็นผลจากการเร่งสูงออกสูงในช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวถึง 15.0% ประกอบกับมีปัจจัยฐานการส่งออกทองคำที่สูงในครึ่งหลังของปี 67

ทำให้คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 68 การส่งออกจะช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตดีขึ้นเล็กน้อยที่ 1.5% จากเดิม 1.4% ท่ามกลางท่องเที่ยวโตต่ำกว่าคาด อัตราภาษี Reciprocal tariff ที่ดีขึ้น และแข่งขันได้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย กัมพูชา อีกทั้งอัตราภาษีดังกล่าวยังต่ำกว่าอัตราภาษีที่อินเดียได้รับที่ 25% ซึ่งอัตราภาษีที่ไม่แตกต่างกัน

ทั้งนี้ ส่งผลให้ในภาพรวมสินค้าส่งออกไทยยังคงความสามารถทางการแข่งขันได้ ขณะที่ภาพการค้าโลกก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากความไม่แน่นอนทางการค้าที่ลดลงรวมถึงหลายประเทศได้รับอัตราภาษีที่ลดลงกว่าที่ประกาศไว้ในเดือน เม.ย. ซึ่งปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนมุมมองต่อการส่งออกไทยอีกทางหนึ่ง

สำหรับอัตราภาษีสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ที่สหรัฐจะเรียกเก็บในอัตรา 40% คาดว่าจะส่งผลให้การนำเข้าสินค้าเพื่อ Re-export ไปยังตลาดสหรัฐผ่านไทย ซึ่งก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในประเทศต่ำนั้นมีแนวโน้มชะลอลง โดยขึ้นอยู่กับการบังคับใช้มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local content) อย่างจริงจัง ที่อาจช่วยลดแรงกดดันต่อภาคการผลิตไทย ขณะเดียวกันภาษีนำเข้าของไทยเทียบกับภูมิภาคที่ไม่แตกต่างกัน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานในการตัดสินลงทุนมากขึ้น

<ต้องระวังสินค้าจีนทะลัก หนี้ภาษีสูงของสหรัฐ>

อย่างไรก็ตาม การไหลเข้ามาของสินค้านำเข้าจากจีนเพื่อบริโภคในประเทศ คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูง ดังนั้นภาคการผลิตในปีนี้คาดว่าจะยังหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

โดยภายใต้ข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐ ไทยต้องยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐราว 90% ของสินค้าทั้งหมด รวมถึงลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีลงนั้น วิจัยกสิกรฯ มองว่าการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าสหรัฐ อาจไม่ทำให้สินค้าสหรัฐไหลบ่าเข้ามาในไทยมากอย่างที่กังวล เนื่องจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐส่วนใหญ่มีอัตราภาษี MFN เป็น 0% อยู่แต่เดิม อีกทั้งสินค้าส่วนใหญ่ไทยไม่สามารถผลิตได้ หรือผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการในประเทศ เช่น เครื่องมือแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์บางรายการที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง หลายรายการอาจมีต้นทุนสูงกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้านำเข้าจากตลาดอื่นโดยเฉพาะตลาดที่ไทยมี FTA อยู่แต่เดิม

<ระวังกระทบรายเล็ก>

ข้อกังวลจากภาษีใหม่ของสหรัฐอีกอย่างคือหากไทยต้องเพิ่มโควตานำเข้าสินค้าพลังงานและเกษตรจากสหรัฐ อาทิ สินค้าเกษตรอย่างถั่วเหลือง ข้าวโพด รวมถึงเนื้อสัตว์ อาจจะกระทบเกษตรกรรายย่อย และในบางกรณีจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้น และอาจจะส่งผ่านมายังเงินเฟ้อในระยะถัดไป รวมทั้งในเรื่องกฎหมาย อำนาจการบังคับใช้ภาษี Reciprocal tariff ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังอยู่ในขั้นตอนไต่สวนอยู่ ขณะที่ไทยอยู่ระหว่างเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ร่วมกับสหภาพยุโรป (EU) และแคนาดา ซึ่งอาจช่วยเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปตลาดอื่นนอกจากสหรัฐมากขึ้น

<จบดีลภาษีมีผลดีแต่เศรษฐกิจไทยยังเสี่ยง>

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย มองว่าหลังจบดีลภาษี การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) อาจเพิ่มขึ้น นักลงทุนย้ายฐานจากจีน มาสู่ไทย ไม่ต้องแย่งเวียดนาม และอินโดนีเซียมากนัก สินค้าเป้าหมาย คือกลุ่มที่ถูกเก็บภาษีพอๆ กันและเน้นตลาดส่งออกไปสหรัฐ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, แบตเตอรี่, ชิ้นส่วนยานยนต์ ฯลฯ แต่อย่าลืมว่าผู้ประกอบการไทยจะได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลงจากอัตราภาษีที่ไทยเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐที่ลดลง เช่น ยาและเวชภัณท์ ผลิตภัณท์อาหาร และอาหารสัตว์ ข้าวโพด ถั่วเหลือง และอื่นๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการลงทุนในกลุ่มนี้

โดยข้อควรระวังคือไทยยังเสียเปรียบด้านโครงสร้างต้นทุน เช่น ค่าแรงสูง ค่าไฟแพง กฎระเบียบซ้ำซ้อน พยายามสร้างจุดขายพวก ESG พลังงานทดแทน

ซึ่งนายอมรเทพ มองว่าจีดีพีไทยจะรอดภาวะถดถอยทางเทคนิค แม้ว่าเศรษฐกิจไม่หดตัวแรง แต่การเติบโตยังต่ำในมุมไตรมาสต่อไตรมาส ความหวังอยู่ที่ช่วงครึ่งหลังของปีหน้า (H2/69) หากส่งออก–ลงทุนฟื้น และการบริโภคภายในประเทศกลับมาแข็งแรง ดังนั้นแม้จะไม่ได้บูมเต็มตัว แต่ “ภาษีต่ำลง” เปิดโอกาสให้ไทยรอดได้พร้อมๆ เพื่อนบ้าน ในสภาวะที่สหรัฐกีดกันการค้าเข้มขึ้น แต่ให้จับตาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่อาจยังไม่จบ จนไทยโดนผลกระทบทางอ้อมได้

<ท่องเที่ยวชะลอยังเป็นปัจจัยเสี่ยง>

ขณะเดียวกันการท่องเที่ยวในปีนี้ คาดว่าจะยังโตต่ำกว่าคาด ซึ่งนับเป็นปัจจัยกดดันสำคัญจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2568 คาดว่าจะลดลงจากประมาณการเดิมมาอยู่ที่ราว 32.2 ล้านคน ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 5 ปี จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ยังคงไม่กลับมา ประกอบกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชา รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณที่อาจต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้

ดังนั้น ถึงแม้ว่าไทยจะสามารถจบดีลภาษีนำเข้ากับสหรัฐได้ตัวเลขสวยงาม แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจนอกเหนือจากภาคส่งออก โดยจุดแข็งที่ต้องเร่งต่อยอดคือการพัฒนาห่วงโซ่การผลิตในประเทศ ปรับต้นทุนธุรกิจให้แข่งขันได้ และใช้นโยบายการคลัง การเงินเข้ามาเสริม เพื่อเพิ่มแรงส่งให้กับเศรษฐกิจไทยไม่ให้ลงหลุมไปอีกรอบเหมือนอย่างวิกฤตโควิดที่ผ่านมา…

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles