ผวาสถานการณ์ตึงเครียดตะวันออกกลาง กระทุ้งราคาทองคำตลาดโลกเด้งทะยาน ดันทองไทยแพงอยู่แล้ว จะแพงขึ้นอีกได้แค่ไหน?

เป็นที่รู้กันไม่ว่าจะสายลงทุน หรือสายสะสม ว่า ทองคำ นับเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉพาะในช่วงเกิดวิกฤต ซึ่งราคาทองคำมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น-ลงมาโดยตลอด แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ช่วงวิกฤต โควิด-19 และความขัดแย้งของประเทศฝั่งตะวันออกกลาง ราคาทองคำก็ยังคงทรงตัวในระดับสูงมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะทองคำในบ้านเราเหมือนขึ้นแล้วลงยาก ราคาเหยียบ 4 หมื่นอัพมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งราคาทองที่มีการปรับเปลี่ยนก็มีปัจจัยที่เข้ามากระทบหลายปัจจัยด้วยกัน

ดูแนวโน้มราคาทอง ต้องดูจากอะไรบ้าง?

ปัจจัยหลักที่นักลงทุนใช้คาดการณ์แนวโน้มการขึ้นลงของราคาทองคำในตลาดโลก ก็ได้แก่ 
1. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการเทรดทองคำในตลาดโลก (Gold Spot) ใช้ดอลลาร์สหรัฐในการอ้างอิงราคาทองคำต่อออนซ์ การเปลี่ยนแปลงของเงินสกุลดอลลาร์จึงส่งผลต่อราคาทองคำมากกว่าเงินสกุลอื่น หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลสำคัญของโลก เช่น ยูโร, หยวน, ปอนด์ นักลงทุนจะหันมาเก็งกำไรในทองคำ ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกันถ้าดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ทองคำก็จะถูกลดความน่าสนใจลง ราคาก็จะลดลง

2. อัตราเงินเฟ้อ อย่างที่รู้ๆกันว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ ราคาทองคำจึงมักไปในทิศทางเดียวกับอัตราเงินเฟ้อ ถ้าอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น เงินลงทุนจะไหลเข้าซื้อทองคำเพิ่มมากขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลดลงของมูลค่าเงินจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เมื่อทองคำเป็นที่ต้องการมากขึ้น ราคาก็จะปรับตัวสูงขึ้น

3. นโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ย ปัจจัยด้านนโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ยจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับราคาทองคำ โดยเฉพาะนโยบายที่มาจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ถือเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนในทองคำต้องติดตาม หากนโยบายที่ประกาศเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงพอที่จะต่อกรกับเงินเฟ้อได้ ก็จะกดราคาทองคำลง แต่ถ้านโยบายและอัตราดอกเบี้ยไม่หวือหวาพอจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ราคาทองคำก็จะยังไปต่อได้

4. ระดับราคาน้ำมัน ราคาน้ำมันมักจะมีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับทองคำโลก เพราะน้ำมันเป็นตัวผลักดันให้เกิดเงินเฟ้อได้ในลักษณะของต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่นำมาคำนวณเงินเฟ้อ ดังนั้นถ้าราคาน้ำมันสูงขึ้น ราคาทองก็คำก็มักจะสูงตาม แต่ก็มีหลายครั้งที่ราคาน้ำมันและทองคำเดินสวนทางกัน ซึ่งมักเป็นเป็นผลมาจากอุปสงค์และอุปทาน ของตัวน้ำมันและทองคำเอง

5. วิกฤตการณ์บนโลก เช่น วิกฤตซับไพร์ม โรคระบาด อย่างโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ความขัดแย้งทางการเมืองระดับโลก หรือภาวะสงคราม ราคาทองคำก็จะปรับตัวสูงขึ้น ด้วยความกังวลในตลาด เนื่องจากนักลงทุนยังคงมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่สร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือครองได้มากกว่าการถือทรัพย์สินอื่นๆ หรือเงินสกุลที่กำลังมีปัญหาอยู่ในตอนนั้น 

ที่จริงแล้วปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงตัวชี้วัดคร่าวๆ เท่านั้น ราคาทองคำยังมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีกหลายสิ่ง แต่ปัจจัยที่เป็นที่จับตามากที่สุดในตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้นสถานการณ์ความตึงเครียดของประทศในตะวันออกกลาง ที่ดูเหมือนความขัดแย้งจะเริ่มปะทุ รุนแรงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่ามีผลกับราคาทองคำในตลาดโลก ราคาน้ำมัน ค่าเงินและปัจจัยแวดล้อมอื่นๆทำให้ราคาทองสวิงเป็นว่าเล่น

แนวโน้มราคาทองคำในอนาคตเป็นอย่างไร?
คุณ กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการบริหารกลุ่ม บริษัท MTS GOLD แม่ทองสุก มองว่าทองคำต่างประเทศ จะยังคงทรงตัวในระดับสูง โดยคาดว่าขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 2,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ช่วงระยะสั้นก่อนจะมีแรงเทขายทำกำไรกลับลงมาเล็กน้อย อยู่แถวบริเวณ 2,655 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งนับว่าทองคำขานรับสภาวะสงครามตะวันออกกลาง จึงมีความผันผวนค่อนข้างมาก จากที่ล่าสุดอิหร่านโจมตีอิสราเอลด้วยขีปนาวุธตอบโต้การสังหารผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์และผู้บัญชาการอิหร่านในเลบานอนเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้ความตึงเครียดเป็นวงกว้าง โดยอิสราเอลเผชิญการโจมตีด้วยขีปนาวุธจากกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา ฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน และกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ยังเรียกได้ด้วยว่าเป็นสงครามรบสามด้านนำมาสู่แรงซื้อทองคำ

และยังมีปัจจัยด้านตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ADP Non-Farm Employment Change ออกมาเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ ได้แก่ Unemployment Claims และ ISM Services PMI คาดออกมาเพิ่มจากเดิมส่วน Final Services PMI คาดจะออกมาใกล้เคียงเดิม ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากสงคราม

ด้านค่าเงินบาทก็กลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง ก็เลยทำให้ราคาทองไทยปรับขึ้นมาบาทละ 500-600 บาทต่อบาททองคำยืนเหนือระดับ 41,000 บาทได้อย่างมีนัยสำคัญ หากทองไทยสามารถยืนเหนือระดับ 41,400 บาท ได้ มองน่าจะสามารถยืนยันการย่อตัว (Break out) ในเชิง Sideways Correction มองราคาทองในประเทศสิ้นปีนี้ เป้าหมายที่ 42,500-43,500 บาท

ด้านคุณพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ประเมินว่า จากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะทวีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน แต่สถานการณ์ที่ยืดเยื้อจะยังเป็นปัจจัยพยุงราคาทองคำ ให้ปรับตัวลงอย่างจำกัด ด้วยแรงซื้อเพราะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยมองภาพราคาทองคำไทยจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะค่าเงินบาท จะส่งผลให้ทองคำแท่งในประเทศ สิ้นปีนี้อยู่ที่ 42,600-43,000 บาท 

ขณะที่คุณจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี มองว่าภาพรวมราคาทองคำโลกยังคงเป็นเทรนด์ขาขึ้น โดยราคาจะสามารถไต่ขึ้นไปได้กว่านี้ อาจแตะ 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูในระยะยาวเพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งที่กลายเป็นสงครามระหว่างประเทศขณะนี้ รวมถึงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

คุณจิตติยังบอกอีกว่าตอนนี้ราคาทองคำในประเทศถ้าเงินบาทไม่แข็งค่า ก็คาดว่าราคาทองอาจจะพุ่งขึ้นไปแตะ 45,000 บาทเลยก็เป็นได้ และก็ยังเชื่อว่าราคาทองคำยังคงเป็นขาขึ้น และในปีนี้น่าจะเห็นแตะที่ 43,000 บาทต่อบาททองคำ โดยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงความต้องการช่วงเทศกาล โดยเฉพาะช่วงปลายปีที่จะนิยมซื้อเป็นของขวัญ

ข้อดีของการซื้อทองคำ หากไม่ได้เน้นไปในทางลงทุน ก็ยังสามารถซื้อเก็บไว้เป็นสินทรัพย์สำหรับยามฉุกเฉินได้ ด้วยคุณสมบัติที่มีสภาพคล่องสูง เป็นที่ยอมรับในสากล ซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ทั่วโลก เพราะฉะนั้นซื้อทองคำเก็บสะสมไว้ เมื่อมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินด่วน ก็สามารถเอาทองไปขายหรือจำนำแลกเป็นเงิน โดยไม่ต้องหยิบยืมใคร ก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีในยุคเศรษฐกิจไม่แน่นอนในตอนนี้ได้….

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles