ปัจจุบันราต้องยอมรับว่าเศรษบกิจในบ้านเราจะยังฟื้นได้ไม่เต็มที่ ด้วยสถานการณ์ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยยังคงติดหล่ม เข็นขึ้นได้ลำบาก นับตั้งแต่เราได้ผชิญกับวิกฤตโควิด-19 รวมไปถึงกับดักหนี้ที่ยังสูง ซึ่งป็นตัวฉุดสำคัญให้กำลังซื้อของประชาชนชะลอตัว รัดเข็มขัดเอวแทบกิ่ว ธุรกิจหลายอย่างซบเซา จนถึงขั้นปิดตัวไปก็มี และในขณะที่ธุรกิจร้านอาหาร ที่ต่างก็เชื่อว่าเป็น “ธุรกิจอมตะ” หากมีความเข้าใจและบริหารจัดการที่ดี ยังไงก็ไปรอดและอยู่ได้ เพราะคนยังต้องกินต้องใช้ ซึ่งก็จริง แต่อาจจะไม่จริงทั้งหมดเสมอไป เพราะที่ผ่านมาเราก็ยังได้เห็นร้านค้ารายเล็กรายน้อย หรือแม้แต่รายใหญ่ก็มีปิดสาขากันไปหลายแบรนด์
เศรษฐกิจตัวการทำธุรกิจเจ๊ง
ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดร้านอาหารปี 2568 จะอยู่ที่ 562,000 ล้านบาท เติบโตเพียง 3.0% จากปี 2567 เนื่องจาก เศรษฐกิจชะลอตัว กระทบกำลังซื้อและการใช้จ่ายของผู้บริโภค การท่องเที่ยวเสี่ยงไม่โต จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจไม่เพิ่มขึ้นตามคาด นอกจากนี้ ต้นทุนราคาวัตถุดิบผันผวนสูงแต่ผู้ประกอบการไม่สามารถขึ้นราคาได้มาก ทำให้กระทบต่อรายได้และผลกำไร โดยตลาดสุกี้-ชาบู คือกลุ่มที่ร้อนแรงที่สุดในตลาดร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบบางส่วน
แต่ในภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ ต่างจากเมื่อก่อน กระแส ความนิยมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ถ้าหากจะพูดถึงธุรกิจร้านสุกี้หม้อไฟในปัจจุบัน มูลค่าอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท ต้องเปลี่ยนเกมครั้งใหญ่ ด้วย”สงครามราคา” เกิดความร้อนแรงขึ้นใน ตลาด “บุฟเฟต์สุกี้” โดยแต่ละแบรนด์ต่างก็งัดจุดแข็งที่มีมาใช้แตกต่างกันไป แต่หนีไม่พ้นเรื่องของการใช้ราคาคุ้มเป็นที่ตั้ง ซึ่งผลดีย่อมส่งถึงผู้บริโภคที่นอกจากจะเพิ่มความหลากหลาย และยังมีราคาให้เลือกตามกำลังจ่าย ความสนุกและความคุ้มค่าของการทานสุกี้ใน 1 มื้อ
สุกี้ตี๋น้อยเปิดสนามด้วยการฉีกกฎเรื่องเวลาและทำเล
ภาพจำของแบรนด์ “สุกี้ตี๋น้อย” คงจะหนีไม่พ้นราคา เวลาที่เปิดเอาใจคนกินมื้อดึก และการเเลือกทำลที่แตกต่างออกไปจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่เน้นเปิดสาขาในห้างฯ แต่ตี๋น้อย เลือกที่จะไม่อยู่ในห้างฯ เพื่อลดต้นทุนค่าเช่าและไม่ต้องแบ่งกำไร (GP) ให้ห้างฯ เปิดตัวด้วยราคา 199 บาท แต่มีวัตถุดิบที่คุ้มค่า อีกทั้งยังเปิดให้บริการถึงตี 5 เพื่อรองรับกลุ่มคนทำงานกลางคืนและนักศึกษากินดึก ซึ่งทำให้แม้จะเปิดบริการมาแค่ประมาณ 4-8 ปี แต่ก็ทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำ เข้าถึงและครองใจผู้บริโภคที่นิยมทานบุฟเฟต์ได้อย่างรวดเเร็ว
ปลุกยักษ์หลับให้กลับมาผงาด
เอ็มเค กรุ๊ป พี่ยักษ์ใหญ่ในวงการสุกี้ที่มีมายาวนาน โดยครองส่วนแบ่งตลาด 60% จากมูลค่ารวมตลาดกว่า 2.3 – 2.5 หมื่นล้านบาท ได้กระโดดลงมาเล่นในตลาดนี้ดูบ้าง โดยทดลองเปิดตัวบุฟเฟต์ 299 บาท เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี เพื่อดูท่าทีของผู้บริโภคและคู่แข่ง โดยใช้ความได้เปรียบเรื่องระบบซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง และระบบการจัดการและบริหารจัดการต้นทุนของกรุ๊ปใหญ่ ทำให้ยอดขายสาขาที่ร่วมรายการโตขึ้น 33% และดึงลูกค้าที่ให้กลับมาได้ถึง 370% เลยทีเดียว
แต่”สุกี้ตี๋น้อย” ก็ได้มีการแก้เกมด้วยการออกโปรโมชัน ตรึงราคา Net ที่ 219 บาท ซึ่งยังคงความได้เปรียบเรื่องราคาที่เข้าถึงง่ายดึงกลุ่มลูกค้าเดิมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
แต่ก็อีกไม่นานนัก เอ็มเค ก็ได้ปั้นแบรนด์ลูก “Bonus Suki” (โบนัส สุกี้ ) แบรนด์ใหม่ล่าสุดภายใต้ MK Group เข้ามาจับตลาดบุฟเฟต์และแยกกลุ่มลูกค้าให้ชัดเจนขึ้น ในราคาเริ่มต้น 276 บาท ซึ่งผู้เล่นในตลาดในฐานะคู่แข่งที่ชัดเจนที่สุด ก็คือ “สุกี้ตี๋น้อย” และ “ลัคกี้ สุกี้”
ล่าสุด โบนัส สุกี้ มีการขยายสาขาจากสิ้นปีนี้ 16 สาขา และตั้งเป้าหมายเปิดสาขาใหม่ 1-2 แห่งทุกสัปดาห์ และจะขยายมากกว่า 70 สาขา ภายในปี 2569 สร้างยอดขายรวมกว่า 3,600 ล้านบาท และจะไปมให้ถึง 100 สาขาทั่วประเทศ ภายในไตรมาส 2 ปี 2570 โดยเน้นทำเลที่เปิดในจังหวัดและเมืองรอง เพราะจะเห็นได้ว่า สาขาแรกของโบนัสสุกี้ เริ่มที่ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ จังหวัดสระบุรี ส่วนสาขาแรกในกรุงเทพฯ คือที่ ลิตเติ้ลวอล์ค รามคำแหง ซึ่งเปิดให้บริการวันที่ 10 กันยายน 2568 ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งจะเห็นได้ว่าเน้นการเข้าถึงทำเลที่เป็นศูนย์รวมของชุมชนในต่างจังหวัด
กลยุทธ์การตลาด ชูความหลากหลาย มากกว่า 60 รายการ รวมถึงติ่มซำและของทานเล่น มีโปรโมชันหมุนเวียน และการจัด “ชั่วโมงโบนัส” ที่มีการแจกเมนูฟรีทุกโต๊ะวันละสองรอบ เพื่อสร้างความตื่นเต้นและคุ้มค่าให้กับลูกค้าด้วย
ขณะที่ ตี๋น้อย ก็ปั้น “Teenoi Gold” ขยับขึ้นไปเล่นตลาดพรีเมียมแมส ในราคาเริ่ม 499 บาท ใช้จุดขายเรื่องเนื้อวากิวและติ่มซำปั้นสด โดยเชฟฮ่องกง เพื่อรองรับฐานลูกค้าเดิม และกลุ่มมีกำลังซื้อมากขึ้นเช่นกัน
และที่เซอร์ไพรส์อีกเจ้าก็คือ กลุ่มเซ็นทรัล โดยส่ง “เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป” (CRG) ใช้งบ 940 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้น 40% บริษัท มิราเคิล แพลนเนท (MP) เจ้าของแบรนด์ “ลัคกี้ สุกี้” (Lucky Suki) และ “ลัคกี้บาร์บีคิว” (Lucky BBQ) จำนวน 140 ล้านหุ้น ซึ่งคาดว่าจะปิดดีลทั้งหมดภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2568 นี้ โดยให้เหตุผลของการลุยธุรกิจร้านสุกี้บุฟเฟต์นี้ว่า ตลาดนี้ยังมีศักยภาพและมีอนาคต โดยจะนำความเชี่ยวชาญของ CRG ทั้งในด้านการบริหารจัดการธุรกิจอาหาร เทคโนโลยี เครือข่ายพันธมิตร เข้ามาร่วมสู้ศึกในตลาดบุฟเฟต์เต็มรูปแบบ ซึ่งจะมีผลต่อมาร์จิ้นและกำไรของลัคกี้สุกี้ในอนาคต และยังเป็นจุดแข็งทั้งด้านการบริหารจัดการ เทคโนโลยี รวมถึงเครือข่าย และฐานลูกค้าจาก The1 มาใช้เพิ่มแต้มต่อให้ธุรกิจ ทั้งสิทธิประโยชน์ โปรโมชั่น รวมถึงการขยายธุรกิจของ “ลัคกี้ สุกี้” ให้เติบโตทั้งจำนวนสาขา รายได้และกำไร
กำลังซื้อ โจทย์สำคัญของธุรกิจร้านอาหาร
คุณทานตะวัน ธีระโกเมน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มองว่า ด้วยภาวะศรษฐกิจปัจจุบัน พฤติกรรมผู้บริโภคที่พบจึงเน้นคุมค่าใช้จ่าย และต้องการมากกว่าแค่ความคุ้มค่า ซึ่งก็มองว่าตลาดบุฟเฟต์ยังมีโอกาสโตได้ แต่ต้องปรับตัวให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือรายรอง ด้วยจุดแข็งที่มีของแต่ละราย ส่วนการที่มีผู้เล่นใหม่ๆเพิ่มเข้ามา มองว่าเป็นเรื่องดีที่จะทำให้ตลาดโดยรวมโตขึ้น แม้จะมีการแข็งขันที่สูงขึ้นตามมา โดยเฉพาะสงครามราคา ที่เชื่อว่าในปีหน้าน่าจะยังมีอยู่
ส่วนภาพรวมธุรกิจบุฟเฟต์คาดว่าน่าจะโตอยู่ในระดับนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า โดยในแต่แบรนด์ก็จะต้องใช้จุดเด่นและจุดแข็งที่มีเพิ่มความสามารถให้กับธุรกิจและดึงดูดผู้บริโภคให้ได้
ด้านคุณธีร์ ธีระโกเมน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์ของโบนัส สุกี้ เตรีมจะขยายสาขา 1-2 สาขาใหม่ ทุกสัปดาห์ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าทั่วประเทศได้เข้าถึง โดยทำเลที่เลือกจะปักหมุดในเมืองหลักและเมืองรอง เน้นในตลาดหลักที่มีโอกาสในการขยายธุรกิจ และมีความหนาแน่นของการอยู่อาศัยสูง ส่วนการจะขยายเวลาปิด-ปิดให้บริการ อาจจะต้องศึกษาความหนาแน่นและความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ดังนั้นในอนาคตอาจจะมีการปรับเรื่องเวลาให้บริการเช่นกัน และในการขยายสาขาในปีหน้า คาดว่าจะครอบคลุม 50% ในประเทศไทย โดยจะต้องดูสถานการณ์ในสิ้นปีนี้อีกครั้ง
ขณะที่ภาพรวมผลประกอบการ ในภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันค่อนข้างคาดเดายาก จึงอาจจะยังไม่สามารถประมินเรื่องรายได้ ผลประกอบการว่าจะกลับมาเป็นอย่างไร อย่างไรก็ดี โบนัส สุกี้ ตั้งเป้าการเติบโตไว้ว่าจะเปิดให้ครบ 16 สาขาภายในสิ้นปี 2568 และมีรายได้ 150 ล้านบาท ส่วนภายในปี 2569 เตรียมขยายสาขาเพิ่มมากกว่า 70 สาขาทั่วประเทศ พร้อมตั้งเป้าหมายรายได้ อยู่ที่ 3,600 ล้านบาท เพื่อเตรียมก้าวสู่ 100 สาขาภายในไตรมาสที่สองของปี 2570 ด้วยงบเริ่มต้นลงทุน 500 ล้านบาท ซึ่งคิดว่าเพียงพอที่จะเพิ่มสาขา ให้ครบ 100 สาขาในปี 2570 แล้ว
สงครามราคา แลกมาด้วยกำไรที่ตกฮวบ
หากจะยกตัวอย่างผลประกอบการของบรรดาคู่แข่งเจ้าหลัก ก็อย่างเช่นผลประกอบการของ บริษัท บีเอ็นเอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (BNN) เจ้าของธุรกิจร้านอาหาร “สุกี้ตี๋น้อย” ใน 9 เดือนแรกปี 2568 พบว่า “ตี๋น้อย” มีกำไรสุทธิ 803 ล้านบาท ลดลง 9.77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่เคยทำได้ 890 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3 ทำกำไร 221 ล้านบาท ลดลง 21% (ปี 2567 ทำได้ 280 ล้านบาท) สะท้อนให้เห็นว่าผลกระทบจากสงครามบุฟเฟต์มีผลต่ออัตรากำไรของตี๋น้อยอย่างชัดเจน
ขณะที่ไตรมาส 3 ปี 2568 ผลประกอบการของเอ็มเค มีรายได้จากการขายและบริการรวม 3,884 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการทำโปรโมชั่นบุฟเฟต์ราคา 299 บาท ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้ยอดขายสูงกว่าไตรมาส 2 ซึ่งถือเป็นช่วงไฮซีซันของปีอีกด้วย โดยยอดขายสาขาเดิม (Same store) ขยายตัว 5.4% และในเดือนกันยายน 2568 หลังจากมีการปรับเพิ่มเมนูบุฟเฟต์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ยอดขายสาขาเดิมก็เติบโตสูงถึง 120% หรือเติบโต 12%
แต่จากการเล่นสงครามราคาบุฟเฟต์ จัดโปรฯสู้ฟัด ก็ทำให้กำไรสุทธิของเอ็มเคในไตรมาส 3 ปี 2568 ลดลงมาก โดยมีกำไรสุทธิ 226 ล้านบาท ลดลง 33.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สัดส่วนกำไรขั้นต้นต่อรายได้จากการขายและบริการ (Gross Profit Margin) ลดลงจาก 67.8% ในไตรมาส 3 ปี 2567 เหลือเพียง 63.9% ในไตรมาส 3 ปี 2568
“ต้องยอมรับว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคมักจะเลือกสิ่งที่ “คุ้มค่า” กับเงินที่ต้องจ่ายไปก่อน ซึ่งการจ่ายราคาเดียวแต่ทานได้ไม่อั้น จึงเป็นทางเลือก และโอกาสของธุรกิจร้านอาหารบุฟเฟต์ แม้จะมีความเสี่ยงสูง แต่หากมีการควบคุมต้นทุน รักษาคุณภาพ และมาตรฐานการบริหารจัดการที่ดีและยั่งยืน ตลอดจนหาจุดแข็งของตัวเองได้เจอ จะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ลูกค้าผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และทำให้ธุรกิจไปต่อได้ เพราะตลาดสุกี้-ชาบู ยังโตต่อเนื่องและเร็วมาก ซึ่งในปีหน้า 2569 “สงครามสุกี้” จะยังเดือดอีกแน่นอน…”