“เป็นโสดทำไม อยู่ไปให้เศร้าเหงาทรวง” ถึงจะเก่า แต่เพลงนี้กลับทำให้ฉุกคิด เพราะในปัจจุบันประเทศไทยและหลายชาติทั่วโลกกำลังเดินหน้าเข้าสังคมผู้สูงอายุกันเร็วขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยที่เข้าภาวะนี้แล้วอย่างสมบูรณ์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ส่อแววถดถอย ส่งผลให้ประชากรหลายคนเกิดความกังวล และตัดสินใจที่จะครองตัวเป็นโสด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายที่อาจตามมาในอนาคต แต่รู้หรือไม่? กลุ่มคนเหล่านี้กลับสร้างให้เกิดเศรษฐกิจแนวใหม่ ที่เรียกว่า Solo Economy หรือเศรษฐกิจคนโสด ซึ่งกลายเป็นกระแสสำคัญและมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจสูง สอดคล้องกับบทวิเคราะห์จาก The 1 Insight พบว่าสัดส่วนการใช้จ่ายของกลุ่มคนโสดในปัจจุบันมีมากกว่า 2 ใน 3 ของยอดการใช้จ่ายรวม และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยพฤติกรรมที่เด่นชัดที่สุดของกลุ่มคนโสดคือการลงทุนกับตัวเองผ่านสินค้าและบริการที่สะท้อนภาพลักษณ์ในเชิงบวกด้วยแนวคิดการใช้จ่ายที่มีจุดยืนชัดเจน พร้อมขับเคลื่อนจากความต้องการดูแลตนเองอย่างรอบด้าน และ 3 หมวดสินค้าที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในกลุ่มคนโสด ได้แก่
1. ของตกแต่งบ้าน (Home Decoration): ที่มีการใช้จ่ายมากกว่าคนมีครอบครัวถึง 4.5 เท่า
2. ความงาม (Beauty): ที่มีการใช้จ่ายมากกว่าคนมีครอบครัวถึง 4 เท่า ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและบริการเสริมความงาม
3. แฟชั่น (Fashion): ที่มีการใช้จ่ายมากกว่าคนมีครอบครัวถึง 3 เท่า โดยเป็นการลงทุนเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์
นอกจากนี้ คนโสดยังพร้อมจ่ายหนักเพื่อเติมเต็มประสบการณ์ผ่านกิจกรรมยามว่าง เช่น เวิร์กช็อป ฟิตเนส และการท่องเที่ยว สูงกว่าคนมีครอบครัวถึง 2 เท่า
เพื่อเป็นการตอกย้ำภาพการเติบโตของกลุ่มคนโสดให้ชัดๆ ผ่านข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่าในปี 2566 มีจำนวนคนโสดทั่วโลกมากถึง 2.12 พันล้านคน หรือ 25% ของจำนวนประชาทั้งหมดทั่วโลก ทั้งยังคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือประมาณปี 2573 จำนวนคนโสดทั่วโลกจะพุ่งไปแตะที่กว่า 3,000 ล้านคน
ยกตัวอย่างต่อไปกับประเทศเพื่อนบ้านเราอย่าง ‘ญี่ปุ่น’ ที่ถูกโควิดดิสรัปชีวิตจนประชากรจำนวนหนึ่งในประเทศเลือกที่จะใช้ชีวิตในรูปแบบโบจจิ*อย่างสมบูรณ์แบบ ผลักดันให้มูลค่าทางเศรษฐกิจของกลุ่มคนโสด (Solo Economy) กระโดดไปแตะถึง 25 ล้านล้านบาท เช่นเดียวกับ ‘เกาหลีใต้’ ที่กำลังเผชิญกับเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมและพฤติกรรมการบริโภคที่เน้นใช้ชีวิตลำพังดันเศรษฐกิจคนโสดขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าจะมีครัวเรือนเดี่ยวเพิ่มขึ้นแตะ 42% ของครัวเรือนทั้งหมด ไม่น้อยหน้ากันกับชาติมหาอำนาจอย่าง ‘สหรัฐอเมริกา’ ที่มีข้อมูลเทียบอัตราการเติบโตของคนโสดเทียบจากปี 2533 จนถึงปี 2566 สูงขึ้นถึง 40% และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
*โบจจิ (botchi) ย่อมาจาก ฮิโตริโบจจิ (hitoribotchi) แปลว่าลำพังเพียงคนเดียว (ขอบคุณข้อมูลจาก Marketeer Team)
ในทางกลับกัน หากจำนวนคนโสดมีเพิ่มมากขึ้น ก็อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจได้ เพราะจะกลายเป็นตัวเร่งชั้นดีที่ทำทั่วโลกขยับเข้าสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ สะเทือนถึงภาคธุรกิจที่จะขาดแรงงานหนุ่มสาว เห็นแบบนี้แล้ว ก็แอบสงสัยว่าอนาคตเศรษฐกิจทั่วโลกจะหดตัวลงใช่หรือไม่…