เป็นเวลากว่าหลายเดือนกับเกมสงครามภาษีที่ดูจะไม่มีจุดสิ้นสุด นับตั้งแต่วันที่โดนัลด์ ทรัมป์ หวนขึ้นนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่ 2 พร้อมประกาศให้ 2 เมษายน เป็น ‘วันปลดแอกสหรัฐ’ อย่างสมบูรณ์ พร้อมรุกเกมภาษีต่างตอบแทนแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน เพื่อเอาคืนประเทศที่ทำให้สหรัฐขาดดุลการค้ามาอย่างยาวนาน หลังจากตัวเลขรอบแรกถูกประกาศออกไป หลายประเทศไม่นิ่งนอนใจ ต่างส่งตัวแทนเข้าร่วมโต๊ะในการเจรจา กระทั่งได้ตัวเลขที่(เกือบ)จะไฟนอลออกมา โดยหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ดึงเกมสงครามภาษีมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดทรัมป์ก็ยอมเคาะอัตราภาษีใหม่ให้กับหลายๆ ประเทศ ซึ่งในที่นี้จะขอสรุปให้เห็นชัดๆ เฉพาะแค่ในภูมิภาคอาเซียน ดังนี้
1. เวียดนาม 20% (ลดลง เดิมเก็บที่ 46%)
2. อินโดนีเซีย 19% (ลดลง เดิมเก็บที่ 32%)
3. มาเลเซีย 19% (ลดลง เดิมเก็บที่ 25%)
4. ไทย 19% (ลดลง เดิมเก็บที่ 36%)
5. กัมพูชา 19% (ลดลง เดิมเก็บที่ 36%)
6. ฟิลิปปินส์ 19% (ลดลง เดิมเก็บที่ 20%)
7. บรูไน 25% (เสมอตัว เดิมเก็บที่ 25%)
8. สปป.ลาว 40% (เสมอตัว เดิมเก็บที่ 40%)
9. เมียนมา 40% (เสมอตัว เดิมเก็บที่ 40%)
10. สิงคโปร์ 10% (เสมอตัว เดิมเก็บที่ 10%)
หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญคือการที่โดนัลด์ ทรัมป์บอกกำหนดให้แต่ละประเทศต้องทำการเปิดให้สินค้า Made in USA หรือที่ผลิตโดยสหรัฐอเมริกาเข้ามาทำตลาดในประเทศ โดยมีการเก็บภาษีเป็น 0 หรือพูดง่ายๆ ก็ไม่เก็บภาษีเลยนั่นแหละ ไม่เพียงเท่านี้ทรัมป์ยังกำหนดให้แต่ละประเทศเพิ่มโควตาการนำเข้าสินค้าพลังงานและเกษตรจากสหรัฐ รวมถึงตระกูลยานยนต์อย่างรถเอสยูวี และรถกระบะจากสหรัฐร่วมด้วย
ทั้งนี้ แม้ประเทศไทยจะได้อยู่ในกลุ่มลดอัตราภาษีต่างตอบแทนกับสหรัฐ แต่ในรายละเอียดข้อตกลงเกี่ยวกับสินค้าที่จะนำเข้าและส่งออกจากสหรัฐก็ยังไม่ได้มีความสมบูรณ์ชัดเจนเท่าไรนัก
แต่… ในวิกฤตที่ทั่วโลกจำต้องก้มหน้ารับ ยังถือเป็นโอกาสให้ทุกประเทศได้ยกเครื่องเศรษฐกิจชุดใหญ่เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพ กระบวนการผลิตทุกมิติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้สามารถต่อกรกับสหรัฐได้
ดูท่าแล้วสงครามภาษีครั้งนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น แต่จากนี้ไปอีก 3 ปีก็ต้องมาลุ้นกันอีกว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จะเปิดตี้เกมเศรษฐกิจและการค้าอะไรต่อ วันดีคืนดีภาษีที่ประกาศใช้แล้วจะถูกพลิกอีกไหม ก็ต้องจับตาดูกันต่อไปอย่างใกล้ชิด…