เจาะเกมเจรจาสงครามภาษีสหรัฐ ไม่เหลือ 0% ไม่แน่จะเดือดกว่าเดิม l BTimes ShowBiz


ยืดเยื้อกันเหลือเกินกับกระดานสงครามภาษีทรัมป์ vs ทั่วโลก โดยเฉพาะกับจีน ที่ห่ำหั่นกันมาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2568 จวบจนถึงปัจจุบัน โดยเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทรัมป์และทีมได้ประกาศปิดดีลภาษีการค้ากับสหราชอาณาจักร (ยูเค) ได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งสหรัฐยังยืนยันที่จะเก็บภาษีต่างตอบแทน 10% กับสินค้าที่นำเข้ายูเคตามเดิม แต่ไปลดอัตราภาษีรถยนต์ ‘โรลส์-รอยส์’ จากยูเค ลงมาอยู่ที่ 10% จากที่เคยเก็บ 25% มีการปรับอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ยูเค จำนวน 100,000 คันแรก เหลือ 10% รวมถึงสหรัฐจะยกเลิกการเก็บภาษีเครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์ ที่ใช้ในการประกอบกับเครื่องบิน นอกจากนี้ยูเคยังยื่นหมูยื่นแมวด้วยการลดอัตราภาษีที่เก็บกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐลงมาเหลือเพียง 1.8%

‘จีน’ สงบ สยบความเคลื่อนไหว ตีปี๊บสร้างพันธมิตร หวังวินในศึกภาษี

และแล้วความระอุของสงครามนี้ ก็ทำให้เราได้เห็นผู้นำสูงสุดของจีนอย่าง ‘สี จิ้นผิง’ เดินทางออกนอกประเทศหยอดคำหวาน 3 ประเทศในอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา หวังกระชับความสัมพันธ์ ขยายการลงทุนร่วมกัน และสร้างแนวต้านสงครามภาษีทรัมป์ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะจีนสามารถปิดดีลบันทึกความเข้าใจ 45 ฉบับกับเวียดนามได้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้เวียดนามต่อต้านการกลั่นแกล้งเพียงฝ่ายเดียว เพื่อรักษาระบบของโลกด้านการค้าเสรี

กลับมาที่คำถามว่าถ้าไม่เลือกข้างทั้งจีน หรือสหรัฐ จะทำอย่างไร? ก็คงต้องบอกตรงๆ ว่าพึ่งพาตนเอง เนื่องจากแทบทุกประเทศมีตลาดหลักตลาดรองของตนเองอยู่แล้ว ‘ขายที่ไหนได้ ขายใครได้ ก็ขาย’ แต่หลายประเทศก็เลือกที่จะเข้าเจรจากับสหรัฐ ชูกลยุทธ์ยื่นหมูยื่นแมว ไม่แสดงท่าทีที่จะตอบโต้รุนแรง ถ้ามาทรงนี้ ทรัมป์เองก็ดูจะแฮปปี้และดีลการเจรจาก็อาจจะจบง่าย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูกันต่อไป เพราะลีลาทรัมป์เองก็ปวดหัวเอาเรื่องอยู่!

ส่วนยักษ์อย่างสิงคโปร์ ก็ถือว่าเดินเกมได้อย่างชาญฉลาด ยอมรับความจริงและสื่อสารอย่างตรงไปตรงมากับประชาชนว่าสิงคโปร์จะได้รับผลกระทบอย่างไร และสิงคโปร์จะตั้งรับอย่างไรกับสงครามภาษีครั้งนี้ ส่วนเวียดนาม คู่ค้าตัวท็อปของสหรัฐ ก็ได้จัดทีมเจรจา เพื่อสร้างสมดุลการค้าด้วยการนำเสนอว่าจะนำเข้าสินค้าอะไรจากสหรัฐกลับไปบ้าง เพื่อทำให้ตัวเลขการขาดดุลการค้าของสหรัฐลดน้อยลง ขณะเดียวกันตัวเลขเกินดุลการค้าของเวียดนามที่มีต่อสหรัฐก็จะลดตามเช่นเดียวกัน ซึ่งข้อมูลล่าสุดจากเพจ Dr.Vietnam ระบุว่าเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ได้ประชุมหารือกับสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา–อาเซียน (US–ASEAN Business Council) และผู้แทนจากบริษัทสหรัฐที่กำลังดำเนินธุรกิจและลงทุนในเวียดนาม การหารือดูเหมือนจะผ่านไปอย่างราบรื่น ตัวแทนภาคเอกชนสหรัฐต่างชื่นชมรัฐบาลเวียดนามที่เปิดกว้าง รับฟัง และร่วมแก้ไขปัญหาเพื่อส่งเสริมความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง พร้อมยกย่องบทบาทเชิงรุกของเวียดนามในการผลักดันความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนกับสหรัฐให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน นอกจากนี้นายกฯ เวียดนามยังได้กล่าวขอบคุณความคิดเห็นจากภาคธุรกิจ พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลเวียดนามยินดีรับฟังและเปิดกว้างสำหรับการเจรจากับทุกประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่ค้าสำคัญ ภายใต้หลัก “ผลประโยชน์ต้องสมดุล ความเสี่ยงต้องร่วมแบ่งปัน”

ล่าสุด สงครามภาษีระหว่างสหรัฐกับจีนดูจะลดความร้อนแรง (เกือบจะมอด) เพราะเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม เวลา 14.10 น. (ตามเวลาไทย) สก๊อต เบสเซนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเจมีสัน กรีเออร์ หัวหน้าสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกาหรือยูเอสทีอาร์ แถลงว่ารัฐบาลสหรัฐประกาศมาตรการภาษีเป็นการชั่วคราว โดยลดการจัดเก็บอัตราภาษีต่างตอบแทนกับจีนลงมาเหลือเพียง 30% จากเดิมที่จัดเก็บสูงถึง 145% โดยมีผลบังคับใช้เป็นเวลานาน 90 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม เป็นต้นไป ขณะเดียวกันฟากรัฐบาลจีนก็ได้ประกาศลดอัตราการจัดเก็บภาษีดังกล่าวกับสหรัฐเหลือ 10% จากเดิมเก็บที่ 125% เป็นการชั่วคราวนาน 90 วันมีผลในวันที่ 14 พฤษภาคมเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ เจมีสัน กรีเออร์ หัวหน้าสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกาหรือยูเอสทีอาร์ แถลงเพิ่มเติมยืนยันว่าอัตราภาษีที่รัฐบาลสหรัฐประกาศจัดเก็บกับจีนในต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ระดับ 20% จากสาเหตุของการตอบโต้จีนที่พบการนำเข้ายาเฟนทานิลเข้าไปในประเทศสหรัฐอเมริกา ยังคงมีผลบังคับใช้เช่นเดิม ในขณะเดียวกันอัตราภาษี 30% ที่ปรับลดลงนี้จะไม่รวมถึงการประกาศใช้อัตราภาษีโดยเฉพาะกับแต่ละอุตสาหกรรมที่มีมาก่อนหน้า ดังนั้น สินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนในบางรายการและอยู่ในบางประเภทอุตสาหกรรมจะยังคงมีอัตราการจัดเก็บภาษีสูงมากนั่นเอง

แต่ความฮือฮาก็ยังไม่จบ เพราะเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่าอาจจะพบกับประธานาธิบดีจีนนายสี จิ้นผิง แบบตัวต่อตัวในการเจรจากันโดยตรง รวมถึงมีความคืบหน้าใกล้จะลงตัวกับข้อตกลงภาษีและการค้ากับ 3 ประเทศใหญ่ ได้แก่ อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

สิ่งที่น่าจับตาต่อมา คือไทยจะทำอย่างไร ในเมื่อเศรษฐกิจเองก็ร่อแร่ ตั๋วเข้าเจรจาทรัมป์ก็ยังไม่มี แถมค่าครองชีพก็พุ่งเอาๆ จนประชาชนต้องพึ่งพาตนเองด้วยการรัดเข็มขัดชนิดที่รูสุดท้ายอยู่ตรงไหน ก็จิ้มเอารูนั้น ฉุดกำลังซื้อหดหายกระทบทุกภาคส่วนจนแทบกระอัก… ท้ายนี้ก็คงทำได้แค่เอาใจช่วย หวังให้มีแสงสว่างหรือปัจจัยบวกเข้ามากระทุ้งเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยให้กลับมาเดินต่อได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามภาษี เพราะไม่มีใครล่วงรู้ได้เลยว่าหลังจากผ่านพ้น 90 กับการถอยคนละก้าวระหว่างสหรัฐกับจีนที่ดูเหมือนจะราบรื่นจะยังดำเนินไปอย่างสวยงามไหม สหรัฐจะทำอย่างไรต่อไป หรือระหว่างทางทรัมป์จะเล่นเกมตามสไตล์นักธุรกิจอีกมากน้อยแค่ไหน คงเป็นสิ่งที่รัฐบาลจากทุกประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญและติดตามเกมการค้านี้อย่างใกล้ชิดต่อไปแบบห้ามกระพริบตา

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles