ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 48,254 จุด +326 จุด หรือ +0.68% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 6,850 จุด +4 จุด หรือ +0.06% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 23,406 จุด -61 จุด หรือ -0.26% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่เป็นวันที่ 2 ติดกัน ที่สำคัญ เป็นครั้งแรกที่ดัชนีหุ้นดังกล่าวปิดยืนเหนือ 48,000 จุดด้วย
สาเหตุจากนักลงทุนคาดหวังในทิศทางบวกเมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกาจะมีการประชุมในวันพุธตามเวลาในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะตรงกับช่วงสายของเช้าวันนี้ 13 พฤศจิกายน ตามเวลาในประเทศไทย เพื่อลงมติเห็นชอบผ่านงบประมาณเป็นการชั่วคราว หากเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดไว้ จะส่งผลให้ยุติภาวะรัฐบาลสหรัฐอเมริกาชัตดาวน์ยาวนานเป็นประวัติศาสตร์ถึง 43 วัน
นักลงทุนยังคงเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคของบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่เช่น วอลมาร์ท และหุ้นกลุ่มสุขภาพ เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่มเอไอที่มีราคาสูงเกินปัจจัยแท้จริง และถูกจับตามองว่าอาจเกิดภาวะฟองสบู่หุ้นกลุ่มเอไอในอนาคตอันไกล
ด้านตัวชี้วัดโอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟด หรือ ซีเอ็มอี วอทช์ ในการประชุมเดือนธันวาคม 2025 ปรากฎว่า มีโอกาสลดลงมาอยู่ที่ 67% จากเดิมที่ระดับ 90% สะท้อนถึงนักลงทุนมีความไม่มั่นใจสูงขึ้นที่เฟสจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงต่อเนื่องเป็นครั้งที่สามติดต่อกันและมีความเป็นไปได้ที่เฟสจะชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจากที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่าจะมีการปรับลดลงถึง 3 ครั้งในช่วงที่เหลือตั้งแต่ครึ่งปีหลังจนถึงสิ้นปีนี้