ในงานสัมมนา SCB WEALTH: Holistic Wealth Forum 2025 ซึ่งจัดโดย SCB WEALTH นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดเผยว่า แม้โลกเผชิญพายุความไม่แน่นอน แต่เงินลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทย สะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและการก่อรูปของ New Economy ที่เริ่มเห็นอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและ AI ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงาน BOI มีมุมมองที่สอดคล้องกันในเรื่องการผลักดันเศรษฐกิจไทยสู่ Third wave ผ่าน 4 Pillars ที่ว่าด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และเศรษฐกิจยุคใหม่ พร้อมยอมรับว่าตลาดทุนไทยตลอด 30 ปีแทบไม่เปลี่ยนแปลงยังเป็น Old Economy เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมใหม่ผ่านโครงการส่งเสริมการลงทุนของ BOI จึงเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ว่าประเทศไทยกำลังเริ่มมี Second Wave ของการเติบโต
ตลาดทุนไทยมีหน้าที่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโครงสร้างให้ธุรกิจใหม่ระดมทุนได้ง่ายขึ้น เพื่อสร้าง New S-curve ให้เศรษฐกิจไทยรองรับการแข่งขันในอนาคต ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำงานร่วมกับ BOI อย่างใกล้ชิด เพื่อดึงดูดให้บริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยพิจารณาระดมทุนในตลาดทุนไทยด้วย ปัจจุบันเกณฑ์ Market Cap ที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจใหม่ระดมทุนได้แม้ยังไม่มีกำไร ไม่เคยถูกใช้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีความยุ่งยากและไม่จูงใจเพียงพอ ตลาดหลักทรัพย์จึงร่วมมือกับ BOI และสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อทบทวนการออกเกณฑ์ใหม่ให้เหมาะสมกับธุรกิจเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมอนาคตมากขึ้น เพื่อให้บริษัทที่เข้ามาตั้งฐานในไทย และขณะเดียวกัน BOI เริ่มนัดหมายบริษัทต่างชาติรายใหญ่ให้พบกับตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเสนอทางเลือกในการระดมทุนในไทย ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มแรงดึงดูดการลงทุนใหม่อย่างมหาศาล
นายอัสสเดช มองว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตในอัตราต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งมากและเมื่อราคาหุ้นปรับลงจน “ถูก” ประกอบกับเงินปันผลที่จูงใจ ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้ดี หากสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ชัดเจนและยั่งยืนขึ้น และย้ำว่าการดึงเงินลงทุนจากต่างชาติให้ระดมทุนผ่านตลาดทุนไทยจะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ความเชื่อมั่นกลับมาเร็วยิ่งขึ้น
ด้าน นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า จากมุมมองของนักลงทุน เชื่อว่า หากสามารถจับจังหวะเมกะเทรนด์โลกได้ มักจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว ซึ่งจากข้อมูลในอดีตสะท้อนให้เห็นว่า ในช่วงการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของเศรษกิจโลก เช่น ยุคอินเทอร์เน็ต ตลาดหุ้น Nasdaq ปรับเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว หรือยุคดาต้า แพลตฟอร์ม ที่เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล การบริโภคผ่านอี-คอมเมิร์ซ หุ้นกลุ่ม FAANG (Facebook, Apple, Amazon, Netflix และ Google) ปรับตัวขึ้นไป 10-20 เท่าตัว ขณะที่ปัจจุบันเราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งทำให้ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หุ้น Magnificent 7 ที่เชื่อมโยงกับ AI ได้แก่ Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet บริษัทแม่ของ Google, Meta ซึ่งเดิมคือ Facebook, Nvidia และ Tesla ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า AI จะเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจโลกกว่า 15.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย AI กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด เราเห็นการพัฒนาของ AI ที่กำลังก้าวจาก Generative AI สู่ Agentic AI ที่ทำงานหลายภารกิจพร้อมกัน ซึ่งต้องการพลังประมวลผลและโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมหาศาล ทำให้มีความจำเป็นต้องขยายการลงทุนใน AI Infrastructure ในระดับเมืองและประเทศ ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ดังนั้น หากนักลงทุนกำลังมองหาโอกาสลงทุนในเมกะเทรนด์ AI นอกเหนือจากหุ้นกลุ่ม AI โดยตรงแล้ว ก็มีโอกาสลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องอีกมาก เช่น กลุ่ม AI Infrastructure ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล Cloud computing หรือโครงข่ายไฟฟ้าที่มีความจำเป็นต้องขยาย เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของดาต้า เซ็นเตอร์ ในอนาคต
Mr.George Maltezos ,Head of BlackRock Capital Formation Team (CFT) in Asia Pacific and Head of Southeast Asia Institutional Client Business กล่าวว่า แม้ตลาดทุนทั่วโลกกำลังผันผวนจากเศรษฐกิจชะลอตัว การปิดหน่วยงานรัฐในสหรัฐฯ และประเด็นการเลิกจ้างพนักงาน (Layoff ) แต่สิ่งที่สะท้อนในตลาดกลับตรงกันข้ามเพราะ AI กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ ทำให้นักลงทุนต้องมองข้ามปัจจัยระยะสั้น และจับเมกะเทรนด์ระยะยาวแทน โดยมี 4 Mega Forces ที่ขับเคลื่อนโลกคือ Digital & AI, Future of Finance, Energy Transition และDemographic Divergence และมองว่าการลงทุนใน AI Infrastructure ควรมีไว้ในพอร์ตระยะยาว เพราะโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ ถนน และ Data Center คือหัวใจการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นสินทรัพย์ที่มีรายได้สม่ำเสมอ ความผันผวนต่ำ และเติบโตไปพร้อมประเทศนั้นๆ
นายธณาพล อิทธินิธิภัค Head of Thailand Business, BlackRock กล่าวว่า กระแส AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในทุกมิติ ทั้งเม็ดเงินลงทุน เทคโนโลยี และจำนวนผู้ใช้งาน โดยปีนี้คาดว่าการลงทุนด้าน AI ทั่วโลกจะสูงถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอาจขยายตัวแตะ 3-4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า ประเทศต่างๆ จึงเร่งสร้าง Data Center ขนาดใหญ่ ทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและดาต้า กลายเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่
“AI กำลังเร่งความต้องการ Data Center สู่ระดับ Gigawatt ประเทศที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานได้ก่อน จะเป็นผู้ชนะในเศรษฐกิจยุคใหม่” นายธนาพลกล่าว