นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ปี 67 นับเป็นปีที่สินค้าประมงทำรายได้สูงสุดในรอบ 10 ปี ถึงแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่สินค้าประมงของไทยยังสามารถเดินหน้าสร้างมูลค่าการส่งออกได้ถึง 240,062 ล้านบาท ซึ่งสูงขึ้นจากปี 65 และ 66 ที่ทำมูลค่า 229,123 ล้านบาท และ 211,286 ล้านบาท ตามลำดับ และยังมากกว่าปี 57 ที่เคยทำมูลค่าไว้สูงถึง 227,860 ล้านบาท
โดยปัจจัยหลักที่เป็นแรงหนุนให้เกิดการขยายตัวส่งออกเพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าประมงแปรรูปได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มทูน่ากระป๋อง ซึ่งช่วงเดือนม.ค.-ธ.ค. 67 มีปริมาณการส่งออก 548,653 ตัน มูลค่า 82,250 ล้านบาท มีปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้น 32% และ 34% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 66
นอกจากนี้ ยังมีในกลุ่มของอาหารกระป๋องสำหรับสุนัขและแมว ซึ่งถือเป็นกลุ่มสินค้าประมงที่ขยายตัวมากที่สุดในขณะนี้ โดยมีปริมาณส่งออก 174,793 ตัน มูลค่า 27,751 ล้านบาท ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้น 51% และ 62% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 66 โดยทั้งสองกลุ่มสินค้าดังกล่าว นับเป็นกลุ่มที่มีปริมาณการส่งออกที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์
ส่วนสินค้ากุ้งและผลิตภัณฑ์ มีการส่งออกทั้งปีปริมาณ 136,774 ตัน มูลค่า 43,325 ล้านบาท ปริมาณลดลง 0.38% และมูลค่าลดลง 5% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 66 โดยปัจจัยหลักเป็นผลมาจากวัตถุดิบกุ้งในประเทศมีปริมาณน้อย ในขณะที่แนวโน้มการนำเข้ากุ้งของตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นลดลง เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่งผลทำให้อำนาจการซื้อลดลง รวมทั้งมีการแข่งขันด้านราคาอย่างมากของประเทศผู้ผลิตหลัก คือ เอกวาดอร์และอินเดีย แต่สัดส่วนการบริโภคภายในประเทศเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับในปี 68 เชื่อมั่นว่าแนวโน้มการส่งออกสินค้าประมงของไทยยังคงสดใส ด้วยปัจจัยบวกจากความต้องการสินค้าประมงในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น โดยกรมประมงพร้อมที่จะมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าประมงไทยให้มีมาตรฐานตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยทางอาหารให้กับผู้บริโภค ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการผลิต รวมถึงจะเร่งขยายฐานการตลาดใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้านสินค้าประมงคุณภาพระดับโลกในอนาคต