ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือนต.ค. 2568 ยังติดลบเป็นเดือนที่ 7 ต่อเนื่องที่ -0.76%YoY โดยยังถูกกดดันจากปัจจัยทางฝั่งอุปทานเป็นสำคัญ ได้แก่ ราคาพลังงานปรับลดลงตามราคาในตลาดโลกและมาตรการลดภาระค่าครองชีพของรัฐบาล โดยมีส่วนทำให้เงินเฟ้อลดลง (contribution to inflation) -1.37%YoY โดยตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค. 2568 รัฐบาลประกาศปรับลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศลง 50 สตางค์ต่อลิตร ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลง -4.9%YoY และแก๊สโซฮอลล์ปรับลดลง -11.1%YoY
รวมทั้งราคาผักและผลไม้ปรับลดลงจากปัจจัยฐานที่สูงในปีก่อนหน้าเนื่องจากปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวยในการเพาะปลูก โดยมีส่วนทำให้เงินเฟ้อลดลง (contribution to inflation) -0.31%YoY สอดคล้องกับดัชนีราคาสินค้าเกษตร (ไม่รวมหมวดปศุสัตว์และประมง) หดตัวต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2568 ประกอบกับปริมาณการนำเข้าผักและผลไม้จากจีนเพิ่มขึ้นซึ่งมีราคาปรับลดลงจากปีก่อนหน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ -0.1% ในปี 2568 โดยในช่วง 10 เดือนแรกเงินเฟ้อติดลบอยู่ที่ -0.09%YoY และแนวโน้ม 2 เดือนสุดท้ายคาดว่าจะยังติดลบต่อเนื่องแต่ในอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งมากจากฐานราคาผักและผลไม้
ในเดือนพ.ย.-ธ.ค. 2568 ที่ปรับลดลง ขณะที่แรงกดดันด้านอุปสงค์เริ่มส่งผลมากขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวกแต่ในอัตราที่ต่ำลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 0.61%YoY และสัดส่วนสินค้าที่ราคาปรับลดลงในตระกร้าเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 40.7% ของรายการทั้งหมดของสินค้าในตระกร้าเงินเฟ้อ แต่ปรับเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 26.7% อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืดเนื่องจากเงินเฟ้อติดลบมาจากด้านอุปทานเป็นหลัก แต่ความเสี่ยงยังมีอยู่ซึ่งยังต้องติดตามต่อไป
อย่างไรก็ดี มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล (Quick Big Win) อาทิ คนละครึ่งพลัส เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และเที่ยวดีมีคืน คาดว่าจะช่วยหนุนอุปสงค์ในประเทศและพยุงเงินเฟ้อได้บ้างในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค. 2568 กลับสู่ระดับ “เชื่อมั่น” ที่ 50.9 เป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน