เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังที่มี 4 หน่วยงานเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ประกอบด้วย สำนักงบประมาณ , สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์, กระทรวงการคลัง , ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยมี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการฯ ว่า การประชุมแผนการคลังวันนี้สำคัญมาก เนื่องจากประเทศไทยถูกปรับลดมุมมองจาก Stable เป็น Negative จากสถาบันจัดอันดับเครดิต (Credit Rating Agencies) ในช่วงที่ผ่านมา
ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับวินัยการคลังเป็นอย่างมาก ภายใต้นโยบาย Quick Big Win 5 เสาหลัก 1 ฐานราก ซึ่ง “ฐานราก” นี้คือการรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ โดยรัฐบาลต้องการให้แผนการคลังระยะปานกลาง (Medium-Term Fiscal Framework: MTFF) เป็นการส่งสัญญาณความมุ่งมั่นด้านวินัยการคลังที่น่าเชื่อถือ
รัฐบาลจะกำหนดเป้าหมายในแผนการคลังระยะปานกลาง (MTFF) เพื่อลดการขาดดุลการคลังสู่ระดับมาตรฐาน ไม่เกิน 3% ของจีดีพี ภายในปีงบประมาณ 2572 โดยคาดว่าการขาดดุลในปีงบประมาณ 2569 จะอยู่ที่ 8.6 แสนล้านบาท หรือประมาณ 4.4% ของจีดีพี และการขาดดุลงบประมาณในปี 2570 จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปี 2569 ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันว่าจะไม่มีการขยายเพดานหนี้สาธารณะ โดยยังคงกำหนดให้หนี้สาธารณะไม่เกิน 70% ของจีดีพี และตามแผน MTFF สัดส่วนหนี้จะยังคงอยู่ภายในกรอบเพดานที่กำหนดอย่างเข้มงวด
โดยแผนการคลังระยะปานกลางจะส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นด้านวินัยการเงินการคลังที่น่าเชื่อถือผ่าน 3 แนวทางหลัก ดังนี้
1.การกำหนดแนวทางการจัดการด้านการคลังทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สินให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
2. การปรับปรุงและเพิ่มกฎเกณฑ์การคลัง รวมถึงการยกระดับความโปร่งใสเกี่ยวกับต้นทุนการคลังต่างๆ รวมถึงรายได้สูญเสียจากสิทธิประโยชน์ภาษีต่าง ๆ เพื่อทำให้เราสามารถบังคับวินัยการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป โดยจะมีการรายงานรายได้ที่สูญเสียไปจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างชัดเจนในอนาคต โดยมาตรการนี้จะรวมถึงสิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่เกิดจากมาตรการของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ด้วย เพื่อสร้างความโปร่งใสและเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนรับทราบ
3. การวางแนวทางกำกับการดำเนินมาตรการกึ่งการคลังตามมาตรา 28 แห่งพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง เพื่อเพิ่มความชัดเจนของการจัดการภาระการคลัง ซึ่งไทยยังคงยึดกรอบเพดานตามมาตรา 28 ที่ 32% ของงบประมาณแต่จะเน้นความเข้มงวดในกระบวนการอนุมัติมากขึ้นในการใช้จ่าย ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความชัดเจนในการจัดการภาระการคลัง จากที่ Rating Agency ให้ความเห็นว่ามีการใช้มาตรา 28 ค่อนข้างช้าเกินไป
นายเอกนิติ กล่าวว่า การลดการขาดดุลงบประมาณจะไม่กระทบต่องบลงทุน โดยรัฐบาลจะใช้เครื่องมือทางการคลังที่เป็นนวัตกรรมและไม่ก่อให้เกิดหนี้สาธารณะ เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน
“การลดการขาดดุลงบประมาณจะไม่กระทบต่องบลงทุน โดยรัฐบาลจะใช้เครื่องมือทางการคลังที่เป็นนวัตกรรมและไม่ก่อให้เกิดหนี้สาธารณะ เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน” นายเอกนิติ กล่าว
ทั้งนี้รัฐบาลได้ปรับปรุงกรอบวินัยการคลังให้เข้มงวดขึ้น โดยไม่แก้ไข พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง แต่ใช้การกำหนดกฎเกณฑ์ให้รัดกุมมากขึ้น เช่น ปรับสัดส่วนงบกลางให้แคบลงจาก 2–3.5% เหลือ 2–3% กำหนดให้ชำระต้นเงินกู้ไม่น้อยกว่า 4% จากเดิมกรอบกว้าง 3.5–5% และลดกรอบวงเงินการก่อหนี้ผูกพันระหว่างปีงบประมาณที่เกินกว่าหรือนอกเหนืองบประมาณตามมาตรา 42 ของ พ.ร.บ. งบประมาณ ลงจาก 8% เหลือ 5%
“แนวทางทั้งหมดนี้มีเป้าหมายร่วมกันคือสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันจัดอันดับเครดิตและสาธารณชนมั่นใจว่าประเทศไทยสามารถปรับลดดุลการคลังสู่ระดับ 3% ของ GDP ภายในปี 2572 และยังสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตด้านอย่างยั่งยืน พร้อมกับเป็นส่วนสำคัญของการวางรากฐานการเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว” นายเอกนิติ กล่าว
สำหรับแผนการคลังระยะปานกลาง รัฐบาลจะยำเข้าสู่การพิจารณาที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 18 พ.ย. 68 โดยยืนยันว่าจะไม่ได้มีการแก้ไขกฎหมายวินัยการเงินการคลัง เพียงแต่เป็นการทำให้เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งสำนักงบประมาณได้มีการเร่งดำเนินการเกี่ยวกับกรอบงบประมาณปี 2570 แและแผน MTFF เป็นไปเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุปสรรคต่อการจัดทำงบประมาณแผ่นดิน แม้ว่าจะมีการประกาศยุบสภาตามที่อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยระบุ จึงจำเป็นต้องเร่งจัดทำปฏิทินงบประมาณล่วงหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมของตัวเลขงบประมาณและป้องกันไม่ให้เกิดอุปสรรคของเศรษฐกิจ