คลังเล็งเสนอร่างกฎหมายศูนย์กลางการเงิน เข้า ครม. ภายในต้นเดือน ก.พ.นี้ ก่อนเสนอที่ประชุมรัฐสภา หวังดึงลงทุนในไทยเพิ่ม

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังได้ยกร่างกฎหมาย พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. …. และเปิดรับฟังความคิดเห็นเสร็จสิ้นแล้ว โดยกฎหมายดังกล่าว มีชุดกฎหมายใหม่ 96 มาตรา ตามนโยบายจัดตั้งศูนย์กลางทางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) เพื่อพัฒนาไทยเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวทีโลกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยคาดว่าจะมีการนำเสนอร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการเงิน เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างช้า ต้นเดือน กุมภาพันธ์ 2568 และหาได้รับความเห็นชอบจากครม.แล้ว ก็จะส่งร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการเงินไปให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ ใช้เวลา ราว 50 วัน แล้วจึงค่อยนำเสนอเข้าที่ประชุมรัฐสภา คาดว่าจะผ่านวาระ 1 ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568

สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการเงิน มีหลักการสำคัญ ดังนี้ ธุรกิจเป้าหมายศูนย์กลางการเงิน ต้องการดึงดูดนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ 8 ประเภท ได้แก่ 1.ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ 2.ธุรกิจบริการการชำระเงิน 3.ธุรกิจหลักทรัพย์ 4.ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 5.ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล 6.ธุรกิจประกันภัย 7.ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ และ 8.ธุรกิจทางการเงินหรือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องหรือสนับสนุนธุรกิจทางการเงินตามที่ คกก. ประกาศกำหนด ให้เข้ามาลงทุนและตั้งบริษัทในไทย โดยตั้งในเขตพื้นที่ที่กำหนดและต้องจ้างแรงงานไทยเป็นสัดส่วนตามที่กำหนด โดยสามารถให้บริการแก่ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) เท่านั้น

ทั้งนี้ จะอนุญาตให้สามารถให้บริการผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศได้ในกรณี ดังนี้

1. ด้านประกันภัย สามารถทำประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยในไทยเพื่อโอนความเสี่ยงได้

2. ด้านตลาดทุน สามารถให้บริการร่วมกับผู้ประกอบการไทย (Co-services) ในการพาลูกค้าไปลงทุนต่างประเทศได้

3. ด้านสถาบันการเงิน สามารถทำ Interbank กับสถาบันการเงินไทยเพื่อบริหารความเสี่ยงได้

4. ด้านธุรกิจบริการการชำระเงิน สามารถเชื่อมระบบกับผู้ให้บริการภายใต้การกำกับดูแลของไทยได้

5. ด้านธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงิน ผู้ประกอบธุรกิจมีสถานะเป็น Non-resident ที่ประกอบธุรกิจทางการเงิน โดยต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมแลกเปลี่ยนเงิน และมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท

ส่วนสิทธิประโยชน์นั้น ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายภายใต้ศูนย์กลางการเงิน จะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งทางภาษีและมิใช่ภาษีตามที่ คณะกรรมการกำหนด โดยสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องแข่งขันได้ และสิทธิประโยชน์ที่มิใช่ภาษี เช่น การยกเว้นกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว สิทธิประโยชน์ในการนำคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในประเทศไทย การให้กรรมสิทธิ์ในการถือครองห้องชุดเพื่อการประกอบธุรกิจและอยู่อาศัย เป็นต้น

พร้อมทั้งจะมีการตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (One Stop Authority: สำนักงาน OSA ) ขึ้นเป็นหน่วยงานของรัฐเพื่อให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเงิน และดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินเข้ามาลงทุน ทั้งนี้จะมีคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (บอร์ด OSA) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน (โดยตำแหน่ง) ซึ่งก็คือนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากากระทรวงการคลังเป็นประธาน ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย กำหนดแนวทางการส่งเสริม กำหนดประเภทและขอบเขตของการอนุญาต หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการขออนุญาต และการอนุญาต การเพิกถอน และการกำกับดูแล โดยต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดหรือมาตรฐานเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายที่เป็นมาตรฐานสากล

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles