นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผย รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ประจำไตรมาส 3 ปี 2567 พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันแตะระดับ 45.1 ลดลง 4.6 จุด เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 นอกจากนี้ ยังลดลง 0.1 จุด เมื่อเทียบจากไตรมาสที่ 2 ผ่านมา ที่สำคัญ ค่าดัชนีดังกล่าวยังตกต่ำกว่าค่ากลางที่ 50.0 ติดต่อกันถึง 7 ไตรมาส หรือ 21 เดือนต่อเนื่อง
สถานการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าความไม่มั่นใจในสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ของผู้ประกอบการยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง ปัจจัยสำคัญมาจากเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว ภาระหนี้สินของครัวเรือน และต้นทุนพัฒนาโครงการที่เพิ่มขึ้น การแข็งค่าของเงินบาทและอัตราดอกเบี้ยที่ยังสูงยังคงส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง
เมื่อแยกตามผู้ประกอบการแต่ละประเภทนั้น ดัชนีความเชื่อมั่นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือ Listed Companies ในไตรมาสที่ 3 ลดลงอย่างชัดเจน สาเหตุจากยอดขายลดลงมากที่สุด 15.8 จุด มาอยู่ที่ระดับ 43.8 จากระดับ 59.6 ในไตรมาสที่ 2 ซึ่งเป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงสูง นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นด้านการลงทุนลดลงมาอยู่ที่ระดับ 52.1 และการเปิดโครงการใหม่ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 52.1 แต่ด้านต้นทุนการประกอบการผกผัน เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 39.6 สะท้อนว่าผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น แม้ว่าภาวะตลาดจะยังไม่เอื้ออำนวย
ดัชนีความเชื่อมั่นของบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือ Non-listed Companies ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายกลาง-รายย่อยนั้น กลับมีสัญญาณฟื้นตัวเล็กน้อย สะท้อนจากค่าดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นจาก 34.6 ในไตรมาสที่ 2 มาอยู่ที่ระดับ 41.0 ประกอบด้วยความเชื่อมั่นด้านการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 48.6 จากระดับ 36.3 ในไตรมาสที่ 2 ความเชื่อมั่นผลประกอบการและยอดขายก็ฟื้นตัว แม้ว่ายังคงต่ำกว่าค่ากลาง 50.0 ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวที่ยังไม่เต็มที่ แต่ทิศทางดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าในอีก 6 เดือนข้างหน้านั้น ค่าดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มาอยู่ที่ 51.6 แสดงถึงความคาดหวังของผู้ประกอบการต่อสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ที่อาจจะดีขึ้นเล็กน้อยในช่วงครึ่งปีแรกของ 2568 โดยเฉพาะด้านยอดขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 57.8 ตามการคาดการณ์ของตลาด