นายโสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด(AREA) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี 2558-2562 มีเปิดตัว คอมมูนิตี้มอลล์ จำนวนมาก โดยผลสำรวจพบว่า 30% หรือประมาณ 60 แห่ง ไม่ประสบความสำเร็จ มาจากหลายปัจจัย เช่น ตั้งอยู่ทำเลไม่เหมาะสม การเข้าออกมีปัญหา จัดวางผังโครงการไม่เหมาะสมระหว่างผู้เช่าหลักกับผู้เช่าทั่วไป ที่จอดรถไม่เพียงพอ การคัดสรรผู้เช่าและคู่แข่งในพื้นที่ มีทั้งคอมมูนิตึ้มอลล์และศูนย์การค้า
“คอมมูนิตี้มอลล์ยุคใหม่ เน้นใกล้บ้านเข้าออกสะดวก ครบครัน ไม่เสียเวลาอยู่นาน ดูทันสมัย เป็นพื้นที่เปิดโล่งมีร้านค้า ร้านอาหารสัก 50 ราย มีตลาด ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านเสริมสวย ร้านสัตว์เลี้ยง ร้านอาหารสตรีทฟู้ดเจ้าดัง ถึงตอบโจทย์ลูกค้า”
อย่างไรก็ตาม หากจะให้ดีที่สุด และโครงการอยู่ได้อย่างยั่งยืน ต้องมีบริการซักผ้าแบบหยอดเหรียญ การสร้างแหล่งพบปะ การจัดหาที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า บริการส่งพัสดุ หากตั้งอยู่ในสถานีบริการน้ำมันชานเมืองหรือเขตต่อเมืองของกรุงเทพแล้ว คนมาเติมน้ำมัน จะสามารถซื้อสิ่งของต่างๆ กลับบ้านได้ด้วย
แนวโน้มตลาดคอมมูนิตี้มอลล์ยังเติบโตต่อเนื่อง จากการบริโภคที่ขยายตัว แต่มีผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก เพราะทำได้ไม่ยาก ขึ้นอยู่กับการเลือกทำเลที่เหมาะสม และการหาผู้มาร่วมกิจการเป็น Tenant-mixed
นายโสภณ กล่าวว่า โดยทำเลที่เหมาะสม 1.ในเขตใจกลางเมือง เช่น พระราม 1 ปทุมวัน สวนมะลิ สุขุมวิท ยานนาวา เป็นต้น 2.อยู่ในเขตต่อเมือง เช่น รามคำแหง บางกะปิ บางนา พุทธมณฑล ซึ่งเป็นย่านที่พักอาศัยของคนทำงานในเมือง 3. เขตรอบนอกของเมือง
“พื้นที่ยอดนิยมและน่าสนใจ เช่น แถวศรีนครินทร์ พุทธมณฑล เทพรักษ์ ปากน้ำ บางใหญ่ บางบัวทอง ราชพฤกษ์ เป็นต้น โดยย่านที่ควรทำคอมมูนิตี้มอลล์ ควรเป็นย่านที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง เช่น บ้านเดี่ยวราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป หรือย่านทาวน์เฮาส์ราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป หรือย่านมีห้องชุดขายราคา 80,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป เป็นต้น”