นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.18 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25- 32.65 บาทต่อดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ) โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนทะลุโซนแนวต้านแรก 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์ (กรอบการเคลื่อนไหว 32.17-32.48 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI ของเยอรมนีในเดือนกันยายน ชะลอลงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจมากขึ้นว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้อีกราว -50bps เป็นอย่างน้อยในการประชุมที่เหลือของปีนี้
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินยูโรก็ยังสอดคล้องกับการย่อตัวลงบ้างของตลาดหุ้นยุโรปที่เผชิญแรงขายทำกำไรเพิ่มเติม หลังปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงที่ผ่านมา และนอกเหนือปัจจัยดังกล่าว เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ที่ย้ำจุดยืนทยอยลดดอกเบี้ยตาม Dot Plot ล่าสุด ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างลดโอกาสการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนพฤศจิกายนนี้ ลงเหลือ 38% จาก 53% ในช่วงวันก่อนหน้า ซึ่งจังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้กดดันให้ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องราว -30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน
สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท แม้ว่าโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทจะเริ่มมีกำลังมากขึ้น ทว่า เราจะมั่นใจมากขึ้นว่า เงินบาทจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้อย่างชัดเจน หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านสำคัญ เช่น โซน 32.80 บาทต่อดอลลาร์ หรือ แม้กระทั่งโซนแนวต้านสำคัญ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวก็อาจเกิดขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ไม่ได้ออกมาแย่กว่าคาดไปมาก ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมาเชื่อว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot ล่าสุด
อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในช่วงคืนที่ผ่านมานั้น ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควรแล้ว (โอกาสเร่งลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายน ลดลงเหลือ 38%) ซึ่งอาจจำกัดการปรับตัวขึ้นต่อของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ ในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาตามคาด หรือ ออกมาดีกว่าคาด ทำให้เงินบาทก็อาจไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก ยกเว้นจะเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากแรงขายทำกำไรสินทรัพย์ของบรรดานักลงทุนต่างชาติ (ซึ่งก็ทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยจริงตามที่เราประเมินไว้) หรือเงินบาทเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งราคาทองคำก็ยังเสี่ยงปรับตัวลดลงต่อได้บ้าง หากเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังปรับตัวขึ้นได้ รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางไม่ได้ทวีความรุนแรงหรือลุกลาม บานปลาย
ทั้งนี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งในฝั่งยุโรป (อัตราเงินเฟ้อ CPI ยูโรโซน) และฝั่งสหรัฐฯ (ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ และดัชนี ISM PMI ภาคการผลิต) โดยเฉพาะ รายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) สหรัฐฯ ซึ่งในช่วงหลังตลาดให้ความสำคัญกับรายงานข้อมูลดังกล่าวมากขึ้น จนทำให้เงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้นเกือบ +0.4% หลังรับรู้รายงานข้อมูล Job Openings ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการแกว่งตัวของเงินบาทที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยหลังรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าวราว +/-0.20%