งานวิจัยระดับโลกเอ็มไอทีชี้ชัด คนที่ใช้หรือพึ่งแต่เอไอทำงานให้ เกิดเอไอ(AI)ซินโดรม ไม่คิดเอง ไม่ลงมือเอง ทำสมองฝ่อ การทำงานเชื่อมต่อในสมองแย่ลง การเรียนรู้ลดต่ำ ขาดความมั่นใจในตัวเอง แย่กว่าคนไม่ใช้เอไอ

งานวิจัยระดับโลกเอ็มไอทีชี้ชัด คนที่ใช้หรือพึ่งแต่ เอไอ ทำงานให้ เกิดเอไอ(AI)ซินโดรม ไม่คิดเอง ไม่ลงมือเอง ทำสมองฝ่อ การทำงานเชื่อมต่อในสมองแย่ลง การเรียนรู้ลดต่ำ ขาดความมั่นใจในตัวเอง แย่กว่าคนไม่ใช้เอไอ

นาตาลียา คอสมิน่า (Nataliya Kosmyna) หัวหน้าทีมวิจัยโครงการศึกษาเอ็มไอที มีเดีย แลป หรือ MIT Media Lab สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือ เอ็มไอที (MIT: Massachusetts Institute of Technology) มหาวิทยาลัยเอ็มไอที รัฐแมทซาชูเซท ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังในระดับต้นของโลกจากสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า จากการทดลองเปรียบเทียบคนใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอระหว่างคนที่ใช้ และคนไม่ใช้เอไอ พบว่า กลุ่มผู้ทดลองที่ใช้แอปแชทจีพีที ChatGPT ซึ่งเป็นหนึ่งแอปเอไอชื่อดังนั้น ปรากฏว่าคนที่ใช้เอไอมากจะประสบปัญหาการจดจำข้อความของผลงานคนเอง ไม่มีความมั่นใจในความเป็นเจ้าของผลงานตนเอง ความหลากหลายของคุณภาพในผลงานการเขียนลดลง การเชื่อมต่อและการทำงานของสมองลดต่ำ โดยเฉพาะระบบสมองสะท้อนจากการวัดค่า dDTF (dynamic Direct Transfer Function) ซึ่งเป็นค่าประมาณสำหรับการสังเกตการเชื่อมต่อและการทำงานของสมอง ผลการทดลองที่ได้การสรุปออกมานั้น อาจส่งผลต่อพัฒนาการเรียนรู้ของสมองในระยะยาว เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มทดลองที่ไม่ได้แอปเอไอ

โครงการทดลองดังกล่าวประกอบด้วย การทดลองการทำงานของสมองกับอาสาสมัครที่เข้ารับการทดลองจำนวน 54 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 18-39 ปีที่มาจากพื้นที่ในเมืองบอสตัน โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่เขียนเรียงความด้วยการใช้เอไอด้วยแอปแชตจีพีที (ChatGPT) กลุ่มที่ใช้เว็บไซต์ค้นหาข้อมูล เช่น กูเกิล และกลุ่มที่ใช้สมองของตนเองเท่านั้น ในการคิดและเขียนเรียงความ ทั้ง 3 กลุ่มให้ทดสอบเขียนเรียงความตามมาตรฐานการสอบ SAT หรือมาตรฐานการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา เพื่อให้เห็นผลการทดลองเข้าไปถึงกลไกการทำงานของระบบประสาทของร่างกาย อาสาสมัครทั้ง 3 กลุ่มถูกติดตั้งเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง หรือ EEG (Electroencephalography) เพื่อติดตามการทำงานของคลื่นประสาทสมองตลอดระยะเวลาการทดลอง

จากนั้นทั้ง 3 กลุ่ม ทำการทดลองด้วยการเขียนเรียงความ 4 รอบเป็นเวลา 20 นาที โดยวัดผลเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณคลื่น EEG ในช่วงระหว่างทดสอบ นอกจากนี้ ทีมวิจัยดังกล่าวยังใช้กระบวนการเรียนรู้ภาษาในลักษณะธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า NLP (Natural Language Processing) ซึ่งเป็นเอไอรูปแบบหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านภาษามาช่วยวิเคราะห์บทความร่วมกันกับผู้เชี่ยวชาญภาษาที่เป็นมนุษย์ เพื่อวิเคราะห์ลักษณะการเขียน ใจความสำคัญ และทักษะการเขียนเป็นอย่างไร

การทดลองเริ่มด้วยให้ผู้ทดลองตอบคำถามต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเขียนเรียงความ เช่น การให้ผู้ทดลองดูข้อความบางส่วนจากบทความที่ตัวเองเขียน เพื่อประเมินว่าผู้ทดลองสามารถจดจำได้หรือไม่ การถามว่าบทความที่ทีมวิจัยแสดงให้ดูนั้นเป็นของผู้เขียนจริงหรือไม่ การอ่านค่า dDTF (dynamic Direct Transfer Function) ซึ่งเป็นค่าประมาณสำหรับการสังเกตการเชื่อมต่อและการทำงานของสมอง และการวิเคราะห์เชิงกลุ่มคำของภาษา (NER: Named-entity recognition) ที่ได้จาก NLP เพื่อวัดผลความหลากหลายขอบคุณภาพงานเขียน

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles