นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จะเริ่มใช้จ่ายได้จริงภายในไตรมาส 4 ปีนี้ โดยรัฐบาลจะพยายามเร่งรัดโครงการให้มีความรวดเร็ว ซึ่งมีโอกาสจะเริ่มใช้ได้เร็วกว่าเดือน ธ.ค. โดยเชื่อว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในปี 67 แต่อาจไม่เต็มที่มากนัก เนื่องจากโครงการออกมาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี การหมุนเวียนของเศรษฐกิจจากเม็ดเงินในโครงการอาจยังไม่เกิดขึ้นในทันที แต่ผลที่เห็นได้จริงๆ จะเกิดขึ้นในปี 68 ซึ่งกระทรวงการคลัง เคยประเมินตัวเลขไว้ว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจราว 1.2-1.8%
นายจุลพันธ์ ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาการจัดการแหล่งเงินงบประมาณที่นำมาใช้ในโครงการดังกล่าว ซึ่งทั้งกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ ยืนยันว่าสามารถบริหารจัดการได้ในกรอบงบประมาณที่มีอยู่ โดยไม่กระทบภารกิจอื่นของรัฐ ซึ่งทำได้ทั้งการออก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม การโอนย้ายหรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ตลอดจนการบริหารการคลังและการบริหารจัดการงบประมาณ ส่วนการใช้งบกลางปี ที่จะสิ้นสุด ก.ย. 67 กรณีมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายข้ามปีงบประมาณ ก็สามารถดำเนินการได้ ถือเป็นเรื่องปกติ หากได้มีการทำสัญญาผูกพันไว้แล้วก่อนสิ้นปีงบประมาณ เช่น ในกรณีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อประชาชนกดขอรับสิทธิ์ และรัฐยืนยัน ก็ถือว่าเป็นการผูกพันงบประมาณแล้ว
สำหรับระบบการชำระเงินกำลังอยู่ในขั้นตอน และมีความพร้อมในวันที่จะเริ่มดำเนินการแน่นอน โดยมีความปลอดภัย และโปร่งใส มีการตรวจสอบอย่างครบถ้วน
“ธนาคารแห่งประเทศไทย ขอเวลา 15 วันที่จะเข้ามาช่วยดู ซึ่งรัฐบาลยินดี และมีความพร้อมที่ให้หน่วยงานต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่า ระบบการชำระเงิน จะไม่มีข้อผิดพลาด” นายจุลพันธ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำการป้องกันการทุจริตว่าต้องไม่มีโอกาสเกิดขึ้น เพราะเงินทุกบาทประชาชนจะเป็นผู้รับ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำ คือ ตัดสิทธิคนที่เคยทำผิดในโครงการในอดีต รวมถึงระบบฐานข้อมูลเป็นระบบบล็อกเชน ซึ่งไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ หากมีการซื้อ-ขาย ข้อมูลจะถูกบันทึกไว้ครบถ้วน เมื่อมีการตรวจสอบพบการซื้อขายผิดประเภท จะมีการดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมาย