ดีเอชแอล (DHL) ประกาศยกเลิกขนส่งพัสดุภัณฑ์ที่เป็นการสั่งสินค้าจากบริษัทใดก็ตาม-บุคคลทั่วไปขายสินค้าก็ตาม ที่มีราคาเกินกว่า 800 ดอลล์ (27,000 บ.) จากทั่วโลกเข้าสหรัฐ มีผล 21 เม.ย. นี้ ย้ำเป็นมาตรการชั่วคราวจนกว่าจะเปลี่ยนแปลง

ดีเอชแอล (DHL) ประกาศ ยกเลิกขนส่ง พัสดุภัณฑ์ที่เป็นการสั่งสินค้าจากบริษัทใดก็ตาม-บุคคลทั่วไปขายสินค้าก็ตาม ที่มีราคาเกินกว่า 800 ดอลล์ (27,000 บ.) จากทั่วโลกเข้าสหรัฐ มีผล 21 เม.ย. นี้ ย้ำเป็นมาตรการชั่วคราวจนกว่าจะเปลี่ยนแปลง

ดีเอชแอล เอ็กซ์เพรส (DHL Express) ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ไตรธุรกิจบริการจัดส่งพัสดุภัณฑ์และโลจิสติกส์ที่อยู่ในเครือกลุ่มบริษัทดอยช์ โพสต์ ยักษ์ใหญ่ชื่อดังระดับโลกในประเทศเยอรมนี ได้ประกาศบนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการว่า ดีเอชแอล เอ็กซ์เพรส ยกเลิกบริการจัดส่งพัสดุภัณฑ์ระหว่างบริษัทผลิตสินค้า แพลทฟอร์มขายสินค้า และบุคคลทั่วไปที่ขายสินค้า ซึ่งมีราคาเกินกว่า 800 ดอลล์สหรัฐ หรือมากกว่า 27,000 บาท จากทั่วโลกเข้าสู่ผู้รับพัสดุภัณฑ์ที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้มีผล 21 เม.ย. 2025 นี้ อย่างไรก็ตามการจัดส่งพัสดุภัณฑ์ระหว่างธุรกิจหรือองค์กรกับปลายทางผู้รับที่เป็นธุรกิจหรือองค์กรจะดำเนินตามปกติ แต่ได้รับผลกระทบในการบริการที่ล่าช้า

สาเหตุจากสำนักงานศุลกากรแห่งสหรัฐอเมริกา ประกาศกฎระเบียบใหม่ ให้ดำเนินการตามกระบวนการ หรือขั้นตอนการขนส่งพัสดุภัณฑ์ที่มีราคาตั้งแต่ 800 ดอลล์สหรัฐ หรือมากกว่า 27,000 บาท เข้าไปในประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงก่อนหน้านี้กฎระเบียบดังกล่าวจะใช้กับการขนส่งพัสดุภัณฑ์ที่มีราคาขั้นต่ำ 2,500 ดอลล์สหรัฐ หรือตั้งแต่ 85,000 บาท สำหรับการขนส่งพัสดุภัณฑ์ที่มีราคาต่ำกว่า 800 ดอลล์สหรัฐ หรือไม่ถึง 27,000 บาทไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากประกาศปรับเปลี่ยนบริการเป็นการชั่วคราวในครั้งนี้

ย้อนกลับ ไปเมื่อวันพุธที่ 16 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา ไปรษณีย์ฮ่องกง หรือ Hong Kong Post ประกาศยกเลิกบริการจัดส่งพัสดุภัณฑ์สำหรับสินค้าที่ขนส่งทางเรือเดินทะเลไปยังประเทศสหรัฐสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังประกาศว่าจะยกเลิกบริการจัดส่งบรรจุภัณฑ์ที่บรรจุสินค้าเพื่อการขนส่งทางอากาศ ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2025 นี้เป็นต้นไป ด้วยเหตุผลว่าเพื่อเป็นการตอบโต้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่ได้ประกาศยกเลิกมาตรการไม่จัดเก็บภาษีสำหรับบรรจุภัณฑ์ที่บรรจุสินค้า และประกาศบังคับใช้มาตรการภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานายโดนัลด์ ทรัมป์ที่มีต่อประเทศจีนและฮ่องกง

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 เมษายนผ่านมานายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เปิดเผยว่า ได้ลงนามในคำสั่งบริหารประธานาธิบดีสหรัฐให้ดำเนินการเพิ่มอัตราการเก็บภาษีพัสดุ หรือแพคเกจจิ้งที่บรรจุสินค้านำเข้าจากต่างประเทศมีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ หรือต่ำกว่า 28,000 บาทลงมา นับเป็นการลงนามเพื่อแก้ไขอัตราภาษีเพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ภายใน 8 วันผ่านมา

โดยเฉพาะสินค้าขายปลีกที่สั่งนำเข้ามาจากประเทศจีน โดยเพิ่มอัตราการจัดเก็บสูงถึง 4 เท่า ทำให้อัตราภาษีดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 90% เป็น 120% ให้มีผลวันที่ 2 พฤษภาคม 2025 นี้ ดังนั้น อัตราภาษีดังกล่าวจะส่งผลให้ต้นทุนในการจัดส่งสินค้าที่มีราคาต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ หรือต่ำกว่า 28,000 บาท เพิ่มสูงขึ้นเป็น 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อชิ้น หรือกว่า 7,000 บาท มีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2025 นี้

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 เมษายน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามให้กำหนดการจัดเก็บอัตราภาษีสำหรับพัสดุที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐที่ 30% ของมูลค่าการจัดส่ง หรือ 25 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 875 บาท ซึ่งประกาศมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2025 แต่ในคืนผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งแก้ไขให้เก็บเพิ่มขึ้นเป็น 90% หรือเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า หรือ 75 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2,625 บาท ในที่สุด อัตราภาษีดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 150 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 5,250 บาท มีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2025 นี้

ในช่วงผ่านมา โดยเฉพาะในยุคสมัยที่นายโจ ไบเดนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 นั้น พัสดุที่บรรจุสินค้าซึ่งส่งไไเข้ามาในประเทศสหรัฐ และมีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ หรือไม่ถึง 28,000 บาทได้รับการยกเว้นภายใต้ข้อกำหนด de minimis กฎหมายดังกล่าวกลายเป็นช่องว่าง และเอื้อประโยชน์กับแพลทฟอร์มขายปลีกออนไลน์รายใหญ่สัญชาติจีนระดับโลกทั้ง 2 ราย คือ ชีอิน( Shein) และเทมูน(Temu) ทั้ง 2 แบรนด์ดังกล่าวจะใช้วิธีการ และช่องทางในการจัดส่งสินค้าไปให้ลูกค้าในสหรัฐผ่านทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศ

ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ สหรัฐอเมริกา เปิดเผยข้อมูลว่ากฎหมายที่ให้ยกเว้นการเก็บภาษีกับสินค้านำเข้ามีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ หรือไม่ถึง 28,000 บาทนั้น ทำให้สินค้าขายปลีกจากต่างประเทศมีจำนวนมากถึงกว่าปีละ 140 ล้านชิ้น เพิ่มสูงขึ้นเป็นปีละกว่า 1,000 ล้านชิ้นภายในระยะเวลา 10 ปีผ่านมา ปริมาณสินค้าจากต่างประเทศมากมายกว่า 1,400 ล้านชิ้น ยังพบว่า มีถึง 60% เป็นสินค้าขายปลีกมาจากจีน

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles