คาเวนดิช อินเวสท์เมนท์ คอร์ป (Cavendish Investment Corp. ) ซึ่งได้อดีตประธานบริษัทร้านอัญมณีและเพชรในฮ่องกงมาบริหารในปัจจุบัน กำลังจัดพอร์ตการขายคิดเป็น 1 ใน 3 หรือราว 33% ในปีนี้ ให้เป็นการค้าทองคำแท่ง บริษัทนี้ทำการซื้อสินแร่ทองคำจากเหมืองทองคำขนาดเล็กในประเทศเคนยา และประเทศอื่นๆ ในทวีปแอฟริกา และส่งไปฮ่องกง เพื่อทำการกลั่นสินแร่ทองคำแล้วนำไปขายให้ลูกค้าเศรษฐีและผู้ซื้อทองคำในเชิงกลยุทธ์การลงทุนในจีน ธุรกรรมดังกล่าวส่งผลให้บริษัทนี้สามารถทำกำไร 5–10% ต่อรอบการจัดส่ง
ในกลุ่มมหาเศรษฐีเอเชีย บางครอบครัวเริ่มข้ามคนกลาง ลงมาทำธุรกิจค้าทองเอง ทั้งจัดหา ขนส่ง และขายเหมือนพ่อค้าสมัยศตวรรษที่ 19
อีกราย ได้แก่ ธุรกิจดีลเลอร์ชื่อว่า เจ.โรเบิร์ต แอนด์ โค (J. Rotbart & Co.) และอีกรายชื่อว่า โกลด์สตอร์ม(Goldstrom ) ได้ตัดสินใจเข้าร่วมทำธุรกิจกับตระกูลเศรษฐีในเอเชีย บางครอบครัวทำการปล่อยเช่าทองคำให้ร้านเพชรในฮ่องกงและสหรัฐ อาหรับ เอมิเรต ส่งผลให้มีผลตอบแทนราว 3–4% ต่อปี
ธุรกิจดังกล่าวที่เกิดขึ้นจากกลุ่มธุรกิจร่ำรวยร่วมมือกับอดีตผู้บริหารในวงการค้าขายโลหะมีค่า เกิดจากสภาพตลาดทองคำในเอเชีย และมีแรงหนุนจากสถานการณ์ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคของโลก ประกอบด้วย ความต้องการสูงในจีนและฮ่องกง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงระยะยาว ภาระหนี้สาธารณะสหรัฐและแนวโน้มการลดดอกเบี้ยระยะสั้นให้อยู่ในระดับต่ำของธนาคารกลางสหรัฐ ขณะที่จีนเปิดคลังสำรองทองคำนอกประเทศแห่งแรกในฮ่องกง เพื่อการทำธุรกรรมการชำระบัญชีง่ายขึ้น และการถือทองเป็นวัฒนธรรม และสินทรัพย์สำรองสำคัญของหลายประเทศในแถบเอเชีย
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจในลักษณะนี้ ปรากฏว่ามาตรฐานการตรวจสอบแหล่งที่มาของทองคำ เนื่องจากสมาคมผู้ค้าทองคำแห่งลอนดอน อังกฤษ ให้การรับรองเพียง 2 โรงแห่งในฮ่องกง ทองคำจากประเทศที่เป็นแหล่งลักลอบ เช่น ซูดาน ผ่านเคนยา
ราคาทองคำตลาดโลกใกล้แตะระดับสูงสุด อาจส่งผลต่อความต้องการเครื่องประดับในจีนและอินเดีย และการค้าสินแร่ทองคำต้องใช้ความเชี่ยวชาญ และเครือข่ายที่เชื่อถือได้ มิฉะนั้นอาจขาดทุนมหาศาล