นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า ในปี 2568 นี้ นักลงทุนต้องเผชิญกับเศรษฐกิจและสภาวะการลงทุนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความท้าทายที่ซับซ้อนกว่าที่เคย โดยมองว่าปีนี้จะเป็นปีที่มีความผันผวนอย่างมากจากหลายปัจจัย อาทิ นโยบายการเงินของธนาคารกลาง แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาคที่อาจแตกต่างกันกว่าเดิม รวมถึงปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนทั่วโลก
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ในนิวยอร์กมีคำสั่งให้ระงับใช้มาตรการ Tariffs ของ ปธน.ทรัมป์ โดยศาลตัดสินว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตของพระราชบัญญัติอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (IEEPA) ทำให้สหรัฐฯ ต้องยกเลิก Reciprocal Tariffs ที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ โดยผู้ที่เคยจ่ายภาษีดังกล่าวไปแล้วสามารถไปยื่นขอภาษีคืนเป็นรายกรณี อย่างไรก็ตาม คาดว่าทรัมป์อาจจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ อาจมีโอกาสที่คดีนี้จะยือเยื้อไปจนถึงศาลสูงสุด และเป็นความเสี่ยงที่ยังคงสร้างความกังวลใจให้กับทุกฝ่าย
อีกทั้ง นักลงทุนอาจต้องติดตามการเคลื่อนไหวของ Bond Yield อย่างใกล้ชิด หลังจากที่ร่างกฎหมาย “One Big Beautiful Bill” ผ่านสภาผู้แทนราษฎรไป ส่งผลให้สหรัฐฯ จะมีการขาดดุลการคลังที่สูงขึ้น โดยที่ผ่านมารัฐบาลระบุว่าจะนำรายได้ที่จัดเก็บจาก Tariffs นี้มาสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งถ้าหากว่าสหรัฐฯ ไม่สามารถจัดเก็บ Tariffs ก็จะทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการคลังหนักกว่าที่หลายคนเคยคาดการณ์ไว้ และอาจสร้างแรงกดดันให้ Bond Yield ปรับตัวสูงขึ้น จนกลายเป็นปัจจัยกดดันสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงถัดไปได้
ดังนั้น จากปัจจัยข้างต้น เราจึงได้แนะนำการลงทุนใน 3 สินทรัพย์ โดยใช้กลยุทธ์ที่มีความยืดหยุ่นและกระจายความเสี่ยงเพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว ประกอบด้วย
– ตราสารหนี้ จากความไม่แน่นอนที่อยู่ในระดับสูง และผลการเจรจาด้านการค้าที่ยังไม่แน่นอน รวมถึงความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจทั่วโลกที่จะชะลอตัวลง เราจึงมองว่าการกระจายความเสี่ยงถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพอร์ตนักลงทุนได้ โดยตราสารหนี้จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะทำหน้าที่ได้ดีโดยเฉพาะในสภาวะที่ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง
แนะนำ กองทุนเปิดเคแทม โกลบอล เครดิต อินคัม ฟันด์ (KT-GCINCOME) (ความเสี่ยงระดับ 5) เน้นลงทุนผ่านกองทุน Schroder International Selection Fund Global Credit Income (กองทุนหลัก) ในตราสารการเงินที่มีการจ่ายผลตอบแทนแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ และลอยตัวที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ และหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงที่ออกโดยรัฐบาล หน่วยงานภาครัฐ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ และบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศในตลาดเกิดใหม่ เป็นต้น
– ตราสารทุน จากประเด็นที่ต้องจับตามองคือท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ โดยเฉพาะหากรัฐบาลทรัมป์ยังดำเนินการนโยบายภาษีศุลกากรการค้าต่อด้วยหนทางอื่น ก็จะเป็นการกระตุ้นการเพิ่มราคาสินค้าโดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงได้บ้าง ประกอบกับราคาน้ำมันปรับลงนั้น ก็น่าจะเปิดช่องให้กับ Fed ในการลดดอกเบี้ยได้ภายในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ดี จึงได้แนะนำ กองทุนเปิดเคแทม ยูเอส โกรท อิควิตี้ ฟันด์ (KT-US) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนผ่านกองทุนหลักอย่าง AB AMERICAN Growth Portfolio ในหุ้นของบริษัทในสหรัฐฯ ที่มีขนาดใหญ่ มีแนวโน้มในการเติบโตดี มีคุณภาพสูง และกองทุนเปิดเคแทม ไชน่า อิควิตี้ ฟันด์ (KT-CHINA) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนผ่านกองทุน BGF China Fund (กองทุนหลัก) ในหุ้นของบริษัทที่มีภูมิลำเนาอยู่ใน หรือเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในจีน
ขณะที่ การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในปีนี้ ได้ส่งผลให้หุ้นเหมืองทองคำกลายเป็นหนึ่งในหุ้นที่ทำผลตอบแทนได้ดีในปี 2568 นี้ เนื่องจากหุ้นเหมืองทองคำมีลักษณะของ leverage effect ต่อราคาทองคำ กล่าวคือ เมื่อราคาทองคำเพิ่มขึ้น 1% หุ้นเหมืองทองคำมักจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่มากกว่า ซึ่งจะทำให้หุ้นเหมืองทองคำกลายเป็นกลุ่มที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูง จึงแนะนำ กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ โกลด์ แอนด์ เพรเชียส เอคควิตี้ (KT-PRECIOUS) (ความเสี่ยงระดับ 7) เน้นลงทุนผ่านกองทุน Franklin Gold and Precious Metals Fund (กองทุนหลัก)ในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นทองคำ และโลหะมีค่า